
ตอนนี้กระแส K-Beauty หรืออิทธิพลความงามแบบฉบับเกาหลีกำลังขยายอาณาเขตไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในเอเชียที่หลงใหลในผลิตภัณฑ์จากเกาหลี แต่ในสหรัฐอเมริกาเอง สินค้า K-Beauty ได้กลายเป็นกระแสหลัก ที่ลูกค้าไม่ได้เป็นแค่แฟนคลับศิลปินคนดังอีกต่อไป แต่กำลังเข้าถึงทุก ๆ คน
ปัจจัยที่ทำให้ K-Beauty ร้อนแรงขึ้นมาในสหรัฐฯ นั้น คือ ไวรัลจาก TikTok หรือคลิป Get Ready With Me ที่ทำให้ใครหลายคนอยากจะใช้สินค้าตาม บวกกับกลุ่มลูกค้าที่เด็กลงและมีความหลากหลายมากขึ้น รวมถึงการขยายตัวอย่างจริงจังของร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง Ulta, Sephora, Walmart และ Costco
ข้อมูลจาก NielsenIQ ระบุว่า ยอดขาย K-Beauty ในสหรัฐฯ คาดว่าจะทะลุ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 64,000 ล้านบาท) ในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 37% จากปีที่แล้ว ทิ้งห่างการเติบโตของตลาดความงามโดยรวมที่โตเพียงเลขหลักเดียว
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เกาหลีใต้ส่งออกเครื่องสำอางคิดเป็นมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 15% จากปีก่อน และกลายเป็นผู้ส่งออกเครื่องสำอางอันดับ 1 มายังสหรัฐฯ แซงหน้าฝรั่งเศสไปแล้ว
แม้ว่าจะมีเรื่องภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ราคาสินค้ายังคงค่อนข้างเสถียร เนื่องจากแบรนด์เกาหลีพยายามแบกรับต้นทุนไว้ชั่วคราว ล่าสุดเกาหลีใต้บรรลุข้อตกลงกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกำหนดภาษีนำเข้าที่ 15% ลดลงจากที่ประกาศไว้ตอนแรก 25%
โดยมีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า หรือ Skincare ที่ทำรายได้สูงที่สุด ในขณะที่กลุ่มดูแลเส้นผม หรือ Hair care เติบโตเร็วที่สุด รวมถึงสินค้าไฮบริด เช่น เซรั่ม หรือคุชชั่นผสมสกินแคร์ก็กำลังมาแรงและได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภค
สมรภูมิของร้านค้าปลีกเจ้าใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ ก็ร้อนแรงขึ้นไม่แพ้กัน เมื่อความนิยมในผลิตภัณฑ์ความงามเกาหลีสามารถเรียกผู้บริโภคเข้าร้านได้ดี แต่ละร้านค้าปลีกในตลาดสหรัฐฯ จึงเร่งเปิดตัวโซนใหม่ เพื่อสินค้าจากเกาหลีโดยเฉพาะ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกหนึ่งความนิยมในสินค้าเกาหลี คือ อิทธิพลของ K-Culture ทั้งศิลปิน ดารา อาหาร หรือแม้กระทั่งซีรีส์นั้นได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกามานับสิบปี
โดยคลื่นลูกแรกของความงามตาม K-Beauty คือ เน้นงานผิวฉ่ำวาวแบบGlass Skin มีขั้นตอนบำรุง 10 ขั้นตอน ตลอดจนเมือกหอยทาก ซึ่งส่วนใหญ่ทำมาเพื่อคนผิวขาวและค่อนข้างจะหาซื้อยาก
แต่ปัจจุบันนี้สินค้าเหล่านี้กำลังเข้าสู่ช่วงคลื่นลูกที่สอง ที่ครอบคลุมสินค้าหลากหลายขึ้น ทั้งเครื่องสำอางแต่งหน้า ดูแลผม/ตัว น้ำหอม และอุปกรณ์ไฮเทค และที่สำคัญคือ มีเรื่องของความหลากหลาย (Inclusive) เข้ามาเกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ Tirtir เคยโดนวิจารณ์ใน TikTok ว่ามีเฉดสีรองพื้นแค่ 3 สี แต่ภายในไม่กี่เดือน แบรนด์ก็ผลิตเพิ่มเป็น 40 เฉดสีเพื่อตอบโจทย์ทุกสีผิว
นอกจากนี้ ยังมีอิทธิพลของ TikTok ที่กลายมาเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z และ Millennials ซึ่งคิดเป็น 75% ของลูกค้า K-Beauty อีกทั้งคลิปในโซเชียลมีเดียที่ติดแท็ก K-Beauty ยังมียอดวิว 250 ล้านวิวต่อสัปดาห์อีกด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ K-Beauty ยืนระยะได้ คือ การแข่งขันที่ดุเดือดในเกาหลีใต้ ทำให้ต้องมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ตามรายงานของ CNBC ระบุว่า ในปี 2024 เกาหลีใต้มีผู้ขายเครื่องสำอางที่มีใบอนุญาตกว่า 28,000 ราย เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวใน 5 ปี ทำให้ต้องแข่งกันคิดค้นนวัตกรรมใหม่ตลอดเวลา
และคาดว่าในอนาคต K-Beauty จะมีเทรนด์ถัดไปคือส่วนผสมแปลกใหม่ อย่างเช่น DNA จากสเปิร์มปลาแซลมอนหรือปลาเทราต์เพื่อช่วยซ่อมแซมผิว และการใช้ AI มาช่วยในการวิจัยและพัฒนาสูตร
ที่มา: CNBC
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney