
รายงาน Mintel เผย 3 เทรนด์หลักที่ส่งผลต่อผู้บริโภค ได้แก่ The New Young, Affection Deficit, และ Anti-Algorithm
Mintel ผู้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาดระดับโลก เผยรายงาน Mintel 2026 Global Consumer Predictions ซึ่งไม่เพียงสะท้อนแนวโน้มผู้บริโภคในระยะสั้น แต่ยังเปิดมุมมองสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2030 และต่อเนื่องไปถึงอนาคต
รายงานฉบับนี้นำเสนอแนวโน้มใหญ่ 3 ประการที่กำลังเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับบุคคล สังคม และระบบเศรษฐกิจโดยรวม ตั้งแต่การกำหนดนิยาม อัตลักษณ์ของวิถีชีวิต ความสัมพันธ์ของผู้บริโภครุ่นใหม่ และความไว้ใจต่อเทคโนโลยี ได้แก่ The New Young, Affection Deficit, และ Anti-Algorithm
ทั้งสามเทรนด์ไม่เพียงอธิบายพฤติกรรมวันนี้ แต่ยังชี้ไปสู่ “โอกาสธุรกิจ” ที่แบรนด์จำเป็นต้องเข้าใจและลงมือปรับตัวตั้งแต่ตอนนี้
อายุขัยของมนุษย์ที่ยาวนานขึ้นทำให้จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต การเรียน ทำงาน แต่งงาน มีลูก หรือเกษียณ ไม่ได้เกิดตามช่วงวัยตายตัวอีกต่อไป รายงานระบุว่า “ช่วงกลางชีวิต” (Extended Middle of Life) กลายเป็นช่วงเวลาที่ยืดออกอย่างมีนัยสำคัญและกลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาสที่ผู้คนอายุ 30-50 ปีที่จะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อย่างอิสระกว่าที่เคยเป็นมา ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนอาชีพ เริ่มธุรกิจใหม่ หรือแสวงหาความหมาย ความสำเร็จแบบใหม่ให้กับชีวิตของตนเอง
ภายในปี 2030 การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากรจะชัดเจนขึ้น คนทำงานเกินอายุ 60 จะเพิ่มจำนวนสูง วัยกลางคนจะเป็นกำลังสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจและนวัตกรรม มากไปกว่านั้นอัตลักษณ์ระหว่างวัยจะเบลอจนไม่สามารถแบ่งตลาดด้วย “อายุ” เพียงตัวเลข
สำหรับแบรนด์ผู้บริโภคให้คุณค่ากับประสบการณ์ ณ ตอนนี้ มากขึ้น ต้องการโซลูชันสำหรับชีวิตที่กำลังเคลื่อนไหวและปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ผู้บริโภคกลุ่มนี้กำลังหาสิ่งที่ช่วยให้เขา “Re-Design” ชีวิตของตนเอง ต้องการใช้พลัง เวลา สุขภาพ และรายได้เพื่อเติมเต็มชีวิตทันที ไม่ใช่รอวัยเกษียณเหมือนรุ่นก่อน แบรนด์ที่ยังใช้สูตรเดิม เน้นแต่วัยหนุ่มสาวหรือวัยเกษียณ อาจกำลังพลาดตลาดมหาศาลที่อยู่ตรงกลางและเติบโตเร็วที่สุดในช่วงสิบปีจากนี้
ยุคนี้แม้เทคโนโลยีจะทำให้เราใกล้กันมากขึ้น แต่ผู้บริโภคกลับรู้สึกห่างเหินกว่าเดิม การใช้ชีวิตออนไลน์ต่อเนื่องทำให้ความสัมพันธ์ในโลกจริงลดลง ความขัดแย้งทางค่านิยมทำให้ผู้คนถอยห่าง และระบบอัตโนมัติทำให้การปะทะทางสังคมน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งรายงานระบุถึง ภาวะขาดความผูกพันในโลกที่แม้จะเชื่อมต่อกันแต่กลับยิ่งโดดเดี่ยว และภายในปี 2030 ช่องว่างระหว่างตรงนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล
ผู้บริโภคเริ่มโหยหาการเชื่อมต่อที่มีความหมาย โดยเฉพาะความอบอุ่นของมนุษย์ที่อัลกอริทึมให้ไม่ได้ โดยพวกเขาจะเริ่มสร้างรูปแบบใหม่ของความผูกพัน เป็นความสัมพันธ์ที่เลือกเอง ไม่จำกัดกรอบแบบครอบครัวดั้งเดิม การดูแลกันในชุมชน การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพื่อเติมเต็มช่องว่างทางอารมณ์ และให้คุณค่ากับความรักและการดูแลสุขภาพใจของตนเอง
สิ่งที่แบรนด์ต้องทำ คือ ลดต้นทุนของความผูกพัน (Affection Cost) ทำให้ผู้คนเชื่อมต่อกันง่ายขึ้น สบายใจขึ้น และรู้สึกปลอดภัยขึ้น ไม่ว่าจะผ่านบริการ ประสบการณ์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์มนุษย์ในโลกยุคดิจิทัล
ก่อนหน้านี้อัลกอริทึมหรือระบบเบื้องหลังที่คอยขับเคลื่อนความเป็นไปของแพลตฟอร์มต่อผู้ใช้เคยเป็นเครื่องมือเงียบๆ ที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นและเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่วันนี้ผู้บริโภคมองว่าสิ่งนี้กลายเป็นตัวกำหนดความคิด ความเชื่อ และตัวตนของผู้คน
ภายในปี 2030 ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามว่า “อัลกอริทึมช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นจริง หรือกำลังควบคุมชีวิตเราอยู่?” ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของอัลกอริทึมมากขึ้น ทั้งด้านความเป็นส่วนตัว ความโปร่งใส และการถูกจำกัดตัวตนด้วยฟีดหรือคำแนะนำที่ถูกเลือกให้แล้ว พวกเขาต้องการควบคุมมากขึ้น ต้องการเข้าใจว่าอัลกอริทึมกำลังพาเขาไปทางไหน และมีส่วนร่วมในการกำหนดสิ่งที่ระบบเลือกให้
แบรนด์แห่งอนาคต ต้องทำให้อัลกอริทึมเป็นมนุษย์มากขึ้น สร้างสมดุลระหว่าง “ความสะดวก” ที่อัลกอริทึมมอบให้ กับ “เสรีภาพและอำนาจในการเลือก” ของผู้บริโภค เพราะสุดท้าย ความนิยมและความภักดีจะเกิดขึ้นจากสิ่งที่รู้สึกถูกต้องและจริง ไม่ใช่สิ่งที่ระบบคิดว่าเหมาะที่สุด
1) ทำให้ประสบการณ์เป็น “มนุษย์มากขึ้น” เทคโนโลยี AI และอัลกอริทึมควรเป็นส่วนเสริมปฏิสัมพันธ์ ไม่ใช่แทนที่การส่งมอบบริการ เพราะ ความสัมพันธ์ที่มีความหมาย ความโปร่งใส ความเห็นอกเห็นใจ และความเป็นมนุษย์ คือ จุดต่างสำคัญในตลาดอนาคต
2) ออกแบบสินค้าและบริการตาม “ชีวิตที่ไม่มีเส้นแบ่ง” การกำหนดเส้นแบ่งกลุ่มเป้าหมายแบบอิงอายุอาจจะไม่ตัวชี้วัดที่ถูกต้องอีกต่อไป เพราะ ผู้บริโภคทุกวัยกำลังใช้ชีวิตแบบเดียวกัน ทุกช่วงวัยแสวงหาความหมาย การเติบโต และการเริ่มต้นใหม่ ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตอาจกำหนดนิยามของไลฟ์สไตล์และการใช้จ่ายที่ต่างจากเดิม
3) สร้างคอมมูนิตี้และการเชื่อมต่อที่แท้จริง แม้เทคโนโลยีจะล้ำสมัยแค่ไหน แต่เมื่อสังคมโดดเดี่ยวขึ้น แบรนด์ที่ช่วยสร้างพื้นที่ของความผูกพันจะมีคุณค่าและความภักดีสูงกว่าที่เคยเป็นมา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคอมมูนิตี้ จัดกิจกรรม สร้างงานคอลแลบ หรือแม้แต่การให้บริการลูกค้าแบบมนุษย์ แบรนด์สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของ “ความผูกพันใหม่” ที่ผู้คนกำลังตามหาได้
รายงานของ Mintel บอกชัดเจนว่าแบรนด์ไม่อาจมองผู้บริโภคแบบเดิมได้อีกต่อไป เพราะ ผู้คนกำลังมองหาชีวิตที่ออกแบบได้เอง ความสัมพันธ์ที่มีความหมาย และเทคโนโลยีที่เคารพตัวตนพวกเขา แบรนด์จึงต้องเข้าใจแรงผลักดันเหล่านี้ ส่งมอบคุณค่าผ่านสินค้าและบริการที่สะท้อนความจริงใจและคุณค่าที่ผู้บริโภคยึดถือ
อ่านรายงานเพิ่มเติม 2026 Global Consumer Predictions
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -