
คุณชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง CEO สิงห์ เอสเตท อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2568
เป็นอีกก้าวสำคัญของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ผู้พัฒนาและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) หลังจากผู้บริหารเดิมเกษียณอายุ
แต่การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ได้นำมาซึ่งความกังวล เพราะผู้ที่เข้ามารับไม้ต่อคือ “ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์”มือดีด้านการเงินของบริษัท ที่ร่วมงานกับสิงห์ เอสเตท มาตั้งแต่ปี 2018 และเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของสื่อมวลชนสายอสังหาริมทรัพย์
แม้ “ชัยรัตน์” จะเข้ารับตำแหน่ง CEO ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2025 แต่การปรากฏตัวต่อสื่อมวลชนเพื่อแถลงวิสัยทัศน์ทางธุรกิจอย่างเป็นทางการ เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา และถือเป็นการประกาศบทบาทใหม่ในฐานะผู้นำทัพอย่างเต็มตัว ภายใต้สถานการณ์ที่สิงห์ เอสเตท ได้สร้างการเติบโตไว้ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นสินทรัพย์มูลค่าหลักหมื่นล้านบาทสู่มูลค่าปัจจุบันกว่า 7 หมื่นล้านบาท และมีรายได้เติบโตกว่า 10 เท่า ซึ่งสะท้อนความสำเร็จจากการขยายธุรกิจใน 4 กลุ่มหลักอย่างมั่นคง ได้แก่
แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่ดูมั่นคงและมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งเป็นฐาน แต่ “ชัยรัตน์” ยอมรับว่าการบริหารธุรกิจในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มาพร้อมกับความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองโลก สงครามการค้า หรือเศรษฐกิจมหภาคที่ยากจะคาดเดา
“ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่การเติบโตในมิติของรายได้และการขยายทรัพย์สินใน 4 ธุรกิจหลัก วันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ของการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว”
สะท้อนจากผลการดำเนินงานล่าสุด ในไตรมาส 3/2568 บริษัทมีรายได้หลักจากการดำเนินงานรวม 3,615 ล้านบาท ส่งผลให้ 9 เดือนแรกมีรายได้รวม 10,480 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิรวมเติบโตขึ้นถึง 405% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการมี ฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) ที่แข็งแกร่งจากธุรกิจโรงแรมและอาคารเชิงพาณิชย์คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งช่วยเสริมเสถียรภาพทางการเงินและเป็น “กันชน” ที่สำคัญในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
ภายใต้สภาวะ “เผาจริง เผาหลอก” ทางเศรษฐกิจที่ธุรกิจต้องตั้งรับเสมือนอยู่ในวิกฤติตลอดเวลา สิงห์ เอสเตท ได้ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ “A Stable Foundation Drives Sustainable Growth” โดยมี “4S” เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งเป็นแผนที่ตั้งมั่น เน้นการสร้างสมดุลและความแข็งแกร่งในทุกมิติ
1. Stability (ความมั่นคง): การสร้างธุรกิจที่มั่นคงและสมดุล มุ่งสร้าง สมดุลของพอร์ตโฟลิโอ โดยใช้รายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงาน (70% ของรายได้) เป็นฐานกำไรที่มั่นคงและเป็นกันชนสำคัญ ขณะที่รายได้แบบไม่ประจำ (Non-recurring Income) จากธุรกิจที่พักอาศัยและนิคมอุตสาหกรรม (30% ของรายได้) จะเน้นโครงการที่มีความยืดหยุ่น สร้างรายได้รวดเร็ว และมองหาโอกาสแม้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย เช่น โครงการ “ONE RIVER พระราม 3” ที่ปัจจุบันมียอดขายกว่า 90% แม้เปิดตัวในปีที่ท้าทาย
2. Strength (ความแข็งแกร่ง): วินัยทางการเงินและความสัมพันธ์ที่หลากหลาย เน้นความแข็งแกร่งในการระดมทุน โดยในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถระดมทุนจากธนาคารและหุ้นกู้รวมกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ด้วยจุดเด่นด้านวินัยทางการเงิน และความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงินกว่า 10 แห่ง รวมถึงนักลงทุนในตลาดหุ้นกู้ ที่ไว้วางใจในศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้ แม้ในช่วงวิกฤตโควิด-19
3. Synergy (พลังประสาน): การบริหารคนและเปิดรับมุมมองคนรุ่นใหม่ โดยยอมรับว่าหลายธุรกิจในปัจจุบัน ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว จึงต้องใช้ประสบการณ์ของคนรุ่นพี่เป็น “แกนกระดูก” ในการยึดองค์กร มองเห็นปัญหาและความเสี่ยง ขณะเดียวกันต้องเปิดพื้นที่ให้ “ไอเดียของคนรุ่นใหม่” เป็นเสมือน “ล้อรถ/ฟันเฟือง” ที่ช่วยในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Niche Market) ในยุคปัจจุบันได้อย่างแม่นยำ
4. Sincerity (ความจริงใจ): การบริหารจัดการความยั่งยืน (ESG) เพราะมองว่าการทำกิจกรรม ESG ต้องขับเคลื่อนควบคู่ไปกับการเติบโตทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่การทำกิจกรรมเพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่เป็นการ “สร้างรากฐานที่มั่นคง” ยกตัวอย่างเช่น โครงการพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเล ในโครงการ CROSSROADS ที่มัลดีฟส์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังกลับมาเป็นประโยชน์เชิงธุรกิจที่แขกผู้เข้าพักสามารถเยี่ยมชมฝูงโลมาประจำถิ่นได้ด้วย นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าหากจะทำให้แกนการจัดการความยั่งยืนหมุนอย่างเต็มที่ ต้องเกิดจากการสร้างกิจกรรมให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งแต่ละกิจกรรมอาจต้องใช้เวลาในการคิด แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาจะทำให้เกิดการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ภาระค่าใช้จ่ายต่อบริษัท
“ชัยรัตน์” ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ให้ “แม่นยำทุกแง่” ในแต่ละกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด
สุดท้าย แม้ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจในปัจจุบันมีอยู่เต็มไปหมด ทั้งเรื่องการเมือง สงครามการค้า และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งผู้บริหาร สิงห์ เอสเตท กลับมองว่า ความท้าทายที่หนักที่สุดคือ “โมเมนต์ของนักลงทุน” หากผู้คนไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะกลับมา พวกเขาก็จะไม่กล้าลงทุนและไม่กล้าใช้จ่าย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในวงกว้าง
ดังนั้น การบริหารจัดการความเสี่ยงจึงไม่ใช่แค่การมองหาทางออก แต่คือการ “ตั้งรับ เสมือนว่า เราอยู่ในวิกฤตินั้นแล้ว” ตลอดเวลา เพราะธุรกิจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ “เผาจริง เผาหลอก” หมุนเวียนกันมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา การจัดสมดุลพอร์ตโฟลิโอและความแข็งแกร่งทางการเงิน (4S) จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้สิงห์ เอสเตท สามารถยืนหยัดและสร้างกำไรในฐานที่ดีได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https:// www.facebook.com/ThairathMoney