“สิงห์ เอสเตท”มูลค่า 7หมื่นล้าน แผนสำเร็จที่ไม่มีสูตรตายตัวกับ 4ภารกิจท้าทาย“ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์”

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

“สิงห์ เอสเตท”มูลค่า 7หมื่นล้าน แผนสำเร็จที่ไม่มีสูตรตายตัวกับ 4ภารกิจท้าทาย“ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์”

Date Time: 21 พ.ย. 2568 10:44 น.

Video

เก็บเงินก็ยาก ลงทุนก็เสี่ยง คนไทยรอดจากความจนยาก? กับ ดร.บุรินทร์ อดุลวัฒนะ | Thairath Money Night Stand EP.17

Summary

คุณชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง CEO สิงห์ เอสเตท อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2568

  • สิงห์ เอสเตท มีสินทรัพย์เติบโตจากหลักหมื่นล้านเป็น 7 หมื่นล้านบาทใน 11 ปี
  • บริษัทเน้นยุทธศาสตร์ "4S" เพื่อสร้างความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน
  • รายได้หลักมาจากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงาน คิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมด
  • บริษัทปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละกลุ่มธุรกิจ

Latest


เป็นอีกก้าวสำคัญของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ผู้พัฒนาและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) หลังจากผู้บริหารเดิมเกษียณอายุ 

แต่การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ได้นำมาซึ่งความกังวล เพราะผู้ที่เข้ามารับไม้ต่อคือ “ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์”มือดีด้านการเงินของบริษัท ที่ร่วมงานกับสิงห์ เอสเตท มาตั้งแต่ปี 2018 และเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของสื่อมวลชนสายอสังหาริมทรัพย์ 

แม้ “ชัยรัตน์” จะเข้ารับตำแหน่ง CEO ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2025 แต่การปรากฏตัวต่อสื่อมวลชนเพื่อแถลงวิสัยทัศน์ทางธุรกิจอย่างเป็นทางการ เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา และถือเป็นการประกาศบทบาทใหม่ในฐานะผู้นำทัพอย่างเต็มตัว ภายใต้สถานการณ์ที่สิงห์ เอสเตท ได้สร้างการเติบโตไว้ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นสินทรัพย์มูลค่าหลักหมื่นล้านบาทสู่มูลค่าปัจจุบันกว่า 7 หมื่นล้านบาท และมีรายได้เติบโตกว่า 10 เท่า ซึ่งสะท้อนความสำเร็จจากการขยายธุรกิจใน 4 กลุ่มหลักอย่างมั่นคง ได้แก่ 

  • ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย รวม 10 โครงการ มูลค่ารวมราว 3 หมื่นล้านบาท โครงการที่โดดเด่นเป็นที่รู้จัก เช่น สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ที่มาราคาขายเริ่มต้นติดท็อปแพงสุดในไทย 
  • ธุรกิจโรงแรม ทั้งในและต่างประเทศ รวม 33 โรงแรม 5 ประเทศ ประมาณ 4,000 ห้องพัก  แบรนด์หลัก คือ SAii และ สันติบุรี เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นเจ้าของโปรเจ็กต์ ครอสโรดส์ มัลดีฟส์
  • ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ อาคารสำนักงาน 5 แห่ง รวม 200,000 ตร.ม. เช่น สิงห์ คอมเพล็กซ์ , เอส โอเอซิส เป็นต้น 
  • ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน อย่าง โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง มีพื้นที่โครงการ 1,790 ไร่


CEO ใหม่ รับมือความท้าทายที่คาดเดาไม่ได้

แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่ดูมั่นคงและมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งเป็นฐาน แต่ “ชัยรัตน์” ยอมรับว่าการบริหารธุรกิจในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มาพร้อมกับความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองโลก สงครามการค้า หรือเศรษฐกิจมหภาคที่ยากจะคาดเดา

“ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่การเติบโตในมิติของรายได้และการขยายทรัพย์สินใน 4 ธุรกิจหลัก วันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ของการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว”

สะท้อนจากผลการดำเนินงานล่าสุด ในไตรมาส 3/2568 บริษัทมีรายได้หลักจากการดำเนินงานรวม 3,615 ล้านบาท ส่งผลให้ 9 เดือนแรกมีรายได้รวม 10,480 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิรวมเติบโตขึ้นถึง 405% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการมี ฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) ที่แข็งแกร่งจากธุรกิจโรงแรมและอาคารเชิงพาณิชย์คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งช่วยเสริมเสถียรภาพทางการเงินและเป็น “กันชน” ที่สำคัญในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี

ยุทธศาสตร์ “4S” กลยุทธ์สมดุลสู้เศรษฐกิจไร้สูตรสำเร็จ

ภายใต้สภาวะ “เผาจริง เผาหลอก” ทางเศรษฐกิจที่ธุรกิจต้องตั้งรับเสมือนอยู่ในวิกฤติตลอดเวลา สิงห์ เอสเตท ได้ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ “A Stable Foundation Drives Sustainable Growth” โดยมี “4S” เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งเป็นแผนที่ตั้งมั่น เน้นการสร้างสมดุลและความแข็งแกร่งในทุกมิติ 

1. Stability (ความมั่นคง): การสร้างธุรกิจที่มั่นคงและสมดุล มุ่งสร้าง สมดุลของพอร์ตโฟลิโอ โดยใช้รายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงาน (70% ของรายได้) เป็นฐานกำไรที่มั่นคงและเป็นกันชนสำคัญ ขณะที่รายได้แบบไม่ประจำ (Non-recurring Income) จากธุรกิจที่พักอาศัยและนิคมอุตสาหกรรม (30% ของรายได้) จะเน้นโครงการที่มีความยืดหยุ่น สร้างรายได้รวดเร็ว และมองหาโอกาสแม้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย เช่น โครงการ “ONE RIVER พระราม 3” ที่ปัจจุบันมียอดขายกว่า 90% แม้เปิดตัวในปีที่ท้าทาย

2. Strength (ความแข็งแกร่ง): วินัยทางการเงินและความสัมพันธ์ที่หลากหลาย เน้นความแข็งแกร่งในการระดมทุน โดยในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถระดมทุนจากธนาคารและหุ้นกู้รวมกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ด้วยจุดเด่นด้านวินัยทางการเงิน และความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงินกว่า 10 แห่ง รวมถึงนักลงทุนในตลาดหุ้นกู้ ที่ไว้วางใจในศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้ แม้ในช่วงวิกฤตโควิด-19

3. Synergy (พลังประสาน): การบริหารคนและเปิดรับมุมมองคนรุ่นใหม่ โดยยอมรับว่าหลายธุรกิจในปัจจุบัน ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว จึงต้องใช้ประสบการณ์ของคนรุ่นพี่เป็น “แกนกระดูก” ในการยึดองค์กร มองเห็นปัญหาและความเสี่ยง ขณะเดียวกันต้องเปิดพื้นที่ให้ “ไอเดียของคนรุ่นใหม่” เป็นเสมือน “ล้อรถ/ฟันเฟือง” ที่ช่วยในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Niche Market) ในยุคปัจจุบันได้อย่างแม่นยำ

4. Sincerity (ความจริงใจ): การบริหารจัดการความยั่งยืน (ESG) เพราะมองว่าการทำกิจกรรม ESG ต้องขับเคลื่อนควบคู่ไปกับการเติบโตทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่การทำกิจกรรมเพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่เป็นการ “สร้างรากฐานที่มั่นคง” ยกตัวอย่างเช่น โครงการพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเล ในโครงการ CROSSROADS ที่มัลดีฟส์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังกลับมาเป็นประโยชน์เชิงธุรกิจที่แขกผู้เข้าพักสามารถเยี่ยมชมฝูงโลมาประจำถิ่นได้ด้วย  นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าหากจะทำให้แกนการจัดการความยั่งยืนหมุนอย่างเต็มที่ ต้องเกิดจากการสร้างกิจกรรมให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งแต่ละกิจกรรมอาจต้องใช้เวลาในการคิด แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาจะทำให้เกิดการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ภาระค่าใช้จ่ายต่อบริษัท 


แผนธุรกิจที่ดี ต้องปรับกลยุทธ์ตามสภาวะตลาด

“ชัยรัตน์” ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ให้ “แม่นยำทุกแง่” ในแต่ละกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด 

  • ธุรกิจที่พักอาศัย: ตลาดลักชัวรีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พึ่งพากลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่และซื้อเพื่อลงทุนในสัดส่วน 50:50 แต่ปัจจุบัน กลุ่มซื้อเพื่อลงทุนได้หายไปจากตลาด เนื่องจากความไม่มั่นใจทางเศรษฐกิจ ทำให้ "เค้ก" ของตลาดลดลงอย่างชัดเจน ดังนั้น กลยุทธ์หลักของสิงห์ เอสเตท จึงต้องเปลี่ยนจากการแข่งปริมาณไปสู่การชู “คุณภาพ” ของสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริง
  • ธุรกิจโรงแรม: ไม่ใช่เกมที่เล่นกับปริมาณนักท่องเที่ยวอีกต่อไป แต่ต้องมุ่งเน้นการจับกลุ่ม นักท่องเที่ยวคุณภาพ ระดับ 4 ดาวขึ้นไป เพื่อให้เกิดรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ที่สูงขึ้น ดังที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในไตรมาส 3/2568 ที่ RevPAR เติบโตถึง 31% ในประเทศไทย
  • ธุรกิจอาคารสำนักงาน: การแข่งขันอยู่ที่ ทำเล และการสร้างปัจจัยดึงดูดใจว่า "ทำอย่างไรให้เขาเลือกมาอยู่กับเรา" ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญในการรักษาอัตราการเช่าให้อยู่ในระดับสูงต่อไป

สุดท้าย แม้ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจในปัจจุบันมีอยู่เต็มไปหมด ทั้งเรื่องการเมือง สงครามการค้า และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งผู้บริหาร สิงห์ เอสเตท กลับมองว่า ความท้าทายที่หนักที่สุดคือ “โมเมนต์ของนักลงทุน” หากผู้คนไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะกลับมา พวกเขาก็จะไม่กล้าลงทุนและไม่กล้าใช้จ่าย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในวงกว้าง

ดังนั้น การบริหารจัดการความเสี่ยงจึงไม่ใช่แค่การมองหาทางออก แต่คือการ “ตั้งรับ เสมือนว่า เราอยู่ในวิกฤตินั้นแล้ว” ตลอดเวลา เพราะธุรกิจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ “เผาจริง เผาหลอก” หมุนเวียนกันมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา การจัดสมดุลพอร์ตโฟลิโอและความแข็งแกร่งทางการเงิน (4S) จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้สิงห์ เอสเตท สามารถยืนหยัดและสร้างกำไรในฐานที่ดีได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง 


ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https:// www.facebook.com/ThairathMoney



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ