
คุณหมอยุวพงศ์ สุทธินันท์ เจ้าของแบรนด์ Dr.Pong เริ่มต้นธุรกิจจากการทำปากกา Stylus ก่อนขยายสู่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
หากพูดถึงแบรนด์ความงาม สกินแคร์ เครื่องสำอางและอาหารเสริม ที่มีจุดขายในความเป็น “เวชสำอาง” มากกว่าสกินแคร์ทั่วไป โดยเฉพาะการเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นงานวิจัยที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ แบรนด์ Dr.Pong แบรนด์ของคนไทย น่าจะเป็นแบรนด์อันดับต้นๆ ที่เป็นที่นิยมของคนไทยยุคใหม่ ที่ต้องการพิสูจน์ผลลัพธ์ที่เป็นจริง
“คุณหมอยุวพงศ์ สุทธินันท์” เจ้าของแบรนด์ Dr.Pong เล่าถึงจุดเริ่มต้น การเรียนรู้การทำธุรกิจ ก่อนมาสร้างแบรนด์ Dr.Pong จนประสบความสำเร็จว่า ระหว่างที่เป็นนิสิตแพทย์ปี 5 เห็นว่านิสิตแพทย์ต้องจด Lecture บนแท็บเล็ต แต่ยุคนั้นยังไม่มีปากกา Stylus ที่ใช้เขียนหน้าจอสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง เขาจึงนำเงินแต๊ะเอีย 30,000 บาทมาเป็นทุนตั้งต้นธุรกิจ โดยดีไซน์ปากกา Stylus เอง โดยจดอนุสิทธิบัตรไว้ด้วย แล้วให้โรงงานไต้หวันผลิตตามแบบ เพราะเป็นผู้ใช้จริงจึงเข้าใจ Insight ของผู้บริโภค ประกอบกับเห็นความต้องการของตลาดจึงขายดีมาก จากนั้นจึงหาสินค้ามาขายเพิ่ม โดยเน้นสินค้าเพื่อสุขภาพที่ปัจจุบันยังคงขายได้ต่อเนื่อง
จนกระทั่งจบแพทย์ “คุณหมอยุวพงศ์” จึงได้มาเปิดคลินิก Dr.Pong (คลินิกหมอพงศ์) บนถนนจันทน์ ซึ่งมีคนไข้หรือลูกค้าเข้ามาใช้บริการแน่นคลินิกทุกวัน โดยคุณหมอได้ผลิตเวชสำอางให้ลูกค้าใช้ควบคู่ในการรักษาปัญหาผิว เมื่อใช้แล้วเห็นผลจึงมีการบอกต่อ จนขยายสู่การผลิตสกินแคร์เต็มรูปแบบ แก้ปัญหาผู้ที่มีปัญหาสิว ฝ้า หน้าหมองคล้ำและอื่นๆ โดยเริ่มขายเฉพาะในคลินิกก่อน
จนเมื่อเกิดวิกฤติโควิดในปี 63 ที่ทุกคนต้องใส่แมสก์ แล้วเกิดปัญหาสิวเห่อ เขาจึงคิดแก้ปัญหา โดยพัฒนาหน้ากากที่ทำจากเส้นใยผ้าที่มีนวัตกรรมยับยั้งแบคทีเรียซึ่งมีผลช่วยลดสิวด้วย คราวนี้นอกจากขายในคลินิกแล้ว ก็มุ่งขายออนไลน์ที่เริ่มเป็นที่นิยม มาร์เกตเพลสต่างๆเริ่มเข้ามาทั้ง Shopee-Lazada ทำให้สามารถขายได้ในตลาดที่ใหญ่ขึ้น ขายดีมากจนผลิตไม่ทัน โดยขายได้มากกว่าล้านชิ้น!!
และนี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาได้เรียนรู้และค้นพบว่า สินค้าดี +ขายในตลาดที่ใหญ่จะสามารถ Scale up ยอดขายเติบโตได้แบบก้าวกระโดด เขาจึงเห็นโอกาสในการขยายตลาดสกินแคร์จากคลินิกสู่ตลาดออนไลน์ที่เป็นตลาดใหญ่อย่างเต็มตัว!!
ที่สำคัญ Dr.Pong ยังแตกต่างจากแบรนด์ทั่วไปในตลาด ที่เน้นความเป็นเวชสำอาง งานวิจัยที่พิสูจน์ผลได้ทางวิทยาศาสตร์ มาผลิตเป็นสินค้าสู่ผู้บริโภคโดยตรง ตอบโจทย์ความต้องการและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ไม่ได้พึ่งแพ็กเกจจิ้งสวยและ Narrative หรือเรื่องเล่าของแบรนด์เท่านั้น
ในปี 64 ผลิตภัณฑ์ตัวแรกของ Dr.Pong จึงลงสู่ตลาด ที่นำโดย เซรั่มซีรีส์ “Dr.Pong 28D Serum” มี 28D Whitening Drone Serum นวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยี target เฉพาะเซลล์ผิวที่มีเม็ดสีเข้ม ต่างจากเซรั่มทั่วไป กลายเป็น 1 ใน Product Hero ของแบรนด์จนทุกวันนี้ จากนั้นได้ออกผลิตภัณฑ์อื่นสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ได้การตอบรับอย่างดีแทบทุกสินค้า ดันยอดขายเติบโต 100 ล้านในปีแรก สู่ 800 ล้านในปี 65 ขยายตัวถึง 800% และทะยานขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาท ในปี 66 ต่อเนื่องมาถึง 2,400 ล้านในปี 67 และยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี
ปัจจุบัน Dr. Pong มีสินค้ามากกว่า 200 SKU ใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์คือ Skincare, อาหารเสริม Supplement และเครื่องสำอาง Cosmetic ภายใต้แบรนด์ BeautiLab โดยรายได้ส่วนใหญ่ 90% มาจากยอดขายออนไลน์และจากหน้าร้านที่มีกว่า 40 สาขาทั่วประเทศ และภายใน 1-2 ปีนี้ ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 100 สาขา ขณะที่ยอดขายจากโมเดิร์นเทรดกับตลาดส่งออกมีเพียง 10% เท่านั้น
จะเห็นว่าแทบไม่ได้ขายบนชั้นวางห้างโมเดิร์นเทรด หรือร้านบิวตี้ช็อปเลย “คุณหมอ” ให้เหตุผลว่า โมเดลธุรกิจเขาเลือก “ลงทุนในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และสารสกัดสำคัญในผลิตภัณฑ์มากกว่าค่า GP ค่าตอบแทนการขายในโมเดิร์นเทรด” ที่สูงถึง 40% ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก อาจทำให้ได้ราคาและคุณภาพที่ไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค!!
คุณหมอย้ำว่า “หัวใจของการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ Dr.Pong คือ การลงทุนกับงานวิจัย โดยมีทีม Dr.Pong SRL (Skin Research Lab) มุ่งผลิตของที่มีคุณภาพและใส่สารสำคัญในระดับที่ “ถึง” เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ เพราะผู้บริโภคยุคใหม่ฉลาดเลือก เขาดูสัดส่วนของสารสำคัญว่ามีมากน้อยแค่ไหนและดีจริงหรือไม่ ดังนั้นการสร้าง Impact ต่อวงการนี้ ไม่ใช่เพียงตัวเลขกำไร ผมเชื่อในหน้าที่ของแบรนด์ คือ “การเชื่อมงานวิทยาศาสตร์ให้ถึงมือผู้บริโภคเร็วที่สุด” เมื่อสินค้าดีจริง การตลาดไม่จำเป็นต้องดัง ลูกค้าจะเป็นสื่อบอกต่อ นี่คือการตลาดที่ทรงพลังที่สุด
ล่าสุด Dr.Pong ได้ก้าวสำคัญอีกขั้น โดยเข้าซื้อ Nabsolute สตาร์ตอัพจากคณะเภสัชกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ผู้สร้างนวัตกรรมระบบนำส่งสารออกฤทธิ์ ActiveIN ที่พาสารซึมลงใต้ผิวได้มากกว่าเดิมถึง 11.5 เท่า ซึ่งได้สิทธิบัตรระดับโลก และ 1 ในผู้ร่วมก่อตั้ง Nabsolute ยังได้เข้าร่วมทีมในตำแหน่ง Chief Science officer (CSO) เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีไทยให้ก้าวสู่ระดับโลก ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการนำ Dr.Pong เชื่อมวิทยาศาสตร์สู่มือผู้บริโภค โดยนวัตกรรมนี้ได้ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ Dr.Pong Serum Active In Series โดยผู้บริโภคชาวไทยจะเป็นกลุ่มแรกของโลกที่ได้สัมผัสนวัตกรรมนี้ ภายใต้แนวคิด “เซรั่ม เทคโนโลยีไทย มาตรฐานโลกเพื่อผิวคนไทย”!!
คุณหมอตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี ยอดขายจะเติบโตในอัตรา 3 หลักต่อปี โดยมีตลาดต่างประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ จากปัจจุบันยอดขายต่างประเทศมีสัดส่วนเพียง 5% ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายต่างประเทศขึ้นเป็นมากกว่า 50% ขณะนี้เริ่มขยายไปเวียดนามแล้วได้ผลดีเกินคาด โดยทำยอดขายได้ถึง 10% ของบริษัทและเจลแต้มสิวของ Dr.Pong ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดเวียดนาม พิสูจน์ให้เห็นว่า “แบรนด์ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก” จากนี้ Dr.PONG มีเป้าหมายชัดเจน ในการผลักดันเทคโนโลยีและงานวิจัยไทยสู่ระดับสากลผ่านการขยายตลาดเอเชียอย่างรวดเร็ว.
เลดี้แจน
คลิกอ่านคอลัมน์ “Business on my way” เพิ่มเติม