เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช “หมอริท เดอะสตาร์” กับเส้นทางความสำเร็จในธุรกิจความงาม The Ritz Clinic

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช “หมอริท เดอะสตาร์” กับเส้นทางความสำเร็จในธุรกิจความงาม The Ritz Clinic

Date Time: 1 พ.ย. 2568 04:32 น.

Summary

“ริท เดอะสตาร์” เด็กหนุ่มจากจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้มีความฝันเป็นนักร้องเดอะสตาร์ สู่การเป็นนักธุรกิจเจ้าของคลินิกความงามที่มีมาตรฐานที่ได้การยอมรับอย่างสูง ล่าสุดเตรียมจัดโครงสร้างธุรกิจ

Latest

Goldman Sachs เล็งซื้อกิจการ Burger King ญี่ปุ่น คาดมูลค่าเกือบ 1.5 หมื่นล้าน

“ริท เดอะสตาร์” เด็กหนุ่มจากจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้มีความฝันเป็นนักร้องเดอะสตาร์  สู่การเป็นนักธุรกิจเจ้าของคลินิกความงามที่มีมาตรฐานที่ได้การยอมรับอย่างสูง ล่าสุดเตรียมจัดโครงสร้างธุรกิจ เพื่อนำบริษัทระดมทุนเข้าตลาดหุ้นเป็นบริษัทมหาชน  

“หมอริท” เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากการเป็นผู้เข้าแข่งขันรายการเดอะสตาร์ปีที่ 6 ด้วยความสามารถและหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ทำให้เป็นที่รักจนได้เสียงโหวตชนะอันดับที่  2 ได้เป็นนักร้องดังค่ายยักษ์ใหญ่สมใจ  แต่ขณะที่ชื่อเสียงกำลังโด่งดังในโลกบันเทิง เขาตัดสินใจกลับไปเดินตามความฝัน

อีกโลก คือการเป็นนักศึกษาแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก่อนจบมาเป็น นายแพทย์เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช หลังได้ไปเป็นแพทย์ใช้ทุนที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ และเรียนต่อปริญญาโทด้านแพทย์ผิวหนัง 

จากนั้นจึงใช้ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาเปิดคลินิกผิวหนังและความงาม The Ritz Clinic สาขาแรกที่ทาวน์ อิน ทาวน์ เมื่อกลางปี 2562 หรือเมื่อ 6 ปีก่อน โดยใช้เงินทุนตั้งต้นที่ได้จากการเป็นศิลปินกว่า 30 ล้านบาท   ทุ่มลงทุนกับเครื่องมือแพทย์คุณภาพสูง เพราะตั้งใจให้เครื่องมือทุกชิ้นได้การรับรองจาก US FDA  มาตรฐานของสหรัฐอเมริกา

“หมอริท” เล่าว่า ปีแรกที่เปิดให้บริการ มีผู้มาใช้บริการเต็มคลินิกทุกวัน ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับที่ต้องการมาอุดหนุนและบอกต่อถึงผลลัพธ์การรักษา  ขณะที่ธุรกิจกำลังไปด้วยดี ก็ต้องมาเจอกับวิกฤติโควิด จนทำให้ไม่สามารถเปิดให้บริการลูกค้าได้ แต่ในช่วงที่ผู้คนในสังคมกำลังต้องการความช่วยเหลือ เขาตัดสินใจปรับคลินิกเป็น  “ศูนย์ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด” ภายใต้โครงการ “หมอริทช่วยโควิด” ใช้ประสบการณ์แพทย์อายุรกรรม วาง ระบบติดตามอาการผู้ป่วยทางไกลผ่าน Line และเป็น ศูนย์รับบริจาค/กระจายยารักษาโควิด ให้คนป่วยทั่วประเทศ เพื่อลดภาระหน่วยงานรัฐและทำให้ผู้ติดเชื้อได้รับการช่วยเหลือที่ง่ายและเร็วขึ้น

จนเมื่อกลับมาเปิดให้บริการคลินิกได้อีกครั้ง เขาพบว่าไม่เพียงแต่แฟนคลับ หรือลูกค้าทั่วไปที่กลับมาใช้บริการของเขาเท่านั้น เขายังได้เจอญาติพี่น้องหรือคนที่เคยได้รับการช่วยเหลือเข้ามารับบริการจำนวนมาก จนถึงทุกวันนี้เขายังคงได้รับการขอบคุณถึงความช่วยเหลือในครั้งนั้น

“หมอริท” เล่าว่า ลูกค้าที่มาใช้บริการของ The Ritz Clinic คิวแน่นยาวมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้การเติบโตของธุรกิจพุ่งแบบก้าวกระโดด สร้างรายได้หรือยอดขายเติบโตเฉลี่ย 300% ต่อปี  ทำให้เขาสามารถขยายสาขาได้ถึง 9 สาขาภายใน 6 ปี ภายใต้ The Ritz Group กำไรที่ได้มาก็จะทุ่มไปกับเครื่องมือที่มีนวัตกรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ  โดย The Ritz Clinic ไม่เน้นขายคอร์ส แต่เน้นมาตรฐานการรักษาให้เห็นผลดีที่สุด ดังนั้นเราไม่เคยแข่งที่ราคา “ถูก” แต่ตั้งใจแข่งที่ความ “เชื่อใจ” ความสบายใจของลูกค้าหลังการรักษา ในราคาสมเหตุสมผล

เมื่อถามถึงวิถีการทำธุรกิจของ “หมอริท” เขาบอกว่า นอกจากเป็นหมอที่ลงตรวจรักษาลูกค้าเองทุกรายแล้ว การเป็นเจ้าของกิจการ ทำให้เขาลงมือทำทุกอย่างเองทั้งการเงิน บัญชี จัดซื้อ ตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ  อะไรที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ จะศึกษาหาข้อมูลความรู้และเรียนรู้จนเข้าใจ  เมื่อเกิดปัญหาก็หาทางแก้ปัญหาปิดรูรั่ว แล้วต้องไม่ให้เกิดซ้ำ มันคือการเรียนรู้จากของจริง  “ผมจัดโครงสร้างการเงินและบัญชีของบริษัทเองด้วย หาหนังสือบัญชีมาอ่านเองเลย เพื่อให้เข้าใจงานลึกจากฐานแล้วค่อยให้มืออาชีพเข้ามาทดแทน จุดนี้ทำให้การสื่อสารภายในกระชับและการตัดสินใจเร็ว”

“หมอริท”  ยังเล่าว่า สิ่งที่เขาให้ความสำคัญสูงสุดคือ ทุกการตัดสินใจขยายธุรกิจของเขานั้น ต้องมีข้อมูล DATA และการวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงรองรับทุกครั้ง โดยใช้ Data-ข้อมูลนำทาง นอกจากนี้ หากเขาอยากลองทำอะไรใหม่ๆ เขาจะตั้งงบ “ลองสิ่งใหม่” อย่างมีวินัย ถ้าพลาดก็จะเสียหายเฉพาะงบนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่เขาได้การเรียนรู้กลับมา   

“ทุกการตัดสินใจต้องมีข้อมูลรองรับ แต่สุดท้ายหัวใจคือตัวตัดสินว่าจะกล้าลองหรือไม่”เขาเชื่อว่าความสำเร็จในธุรกิจความงามไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การผสมระหว่างความรู้แพทย์ ความเข้าใจผู้คน และความกล้าทดลองสิ่งใหม่ในขอบเขตที่รับผิดชอบได้

ในวันนี้ The Ritz Clinic มี 9 สาขา และแตกแบรนด์ลูกเพื่อความ “คมชัด” เปิด ILIDZ Clinic ที่โฟกัสเฉพาะ ศัลยกรรมตาโดยจักษุแพทย์ หลังพบว่า ปัจจุบันคนไทยทำหัตถการ “ตา” เป็น Top Demand  แซงหน้าการทำศัลยกรรมจมูก โดยชวนเพื่อนๆและน้องๆแพทย์ขอนแก่น มาร่วมธุรกิจ โดยออกแบบโมเดลให้แพทย์ถือหุ้นร่วม เพื่อผูกแรงจูงใจระยะยาวและคุมมาตรฐานให้สูงสม่ำเสมอ

และล่าสุดปีนี้ เป็นปีแรกที่เขาได้เริ่มจ้างผู้บริหารมืออาชีพ ระดับ C-LEVEL เข้ามาร่วมทีมเพิ่ม เข้ามาช่วยบริหารจัดการธุรกิจ ทำระบบ ERP, SOP ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน รวมทั้งจัดทำมาตรฐานบัญชีและการควบคุมภายในอย่างเป็นระบบ เพื่อเตรียมตัวเข้าตลาดหุ้นภายในปี 2570 โดยเหตุผลไม่ใช่เพียงแค่ต้องการเงินทุนขยายธุรกิจ แต่ต้องการรักษามาตรฐาน และดึงมืออาชีพเก่งๆเข้ามาร่วมทีม เพื่อให้แบรนด์เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน  

โดยเขาตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดในหัวเมืองใหญ่ๆและตั้งทีมมาร์เกตติ้งทำแผนการตลาดเพื่อดึงลูกค้าต่างชาติในตลาดเอเชียและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งกลุ่มลูกค้าจีนโดยเฉพาะ ให้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น จากปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นลูกค้าคนไทย 

ล่าสุด The Ritz Group ยังได้เพิ่มแผนก R&D วิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ของตัวเอง โดยใช้นวัตกรรมใหม่ๆที่ตอบโจทย์ความงาม หลังจากที่เขาได้ศึกษาต่อปริญญาเอกด้านแพทย์ผิวหนัง ซึ่งกำลังจะจบและรับปริญญาในเร็วๆนี้  โดยได้ออกผลิตภัณฑ์ครีมล้างหน้ามาลองตลาดเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งได้การตอบรับอย่างดีและจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมาเร็วๆนี้

หากมองอนาคตใน 3–5 ปี  เขามีแผนที่ชัดเจนว่า ต้องสร้างโรงพยาบาลผิวหนังและความงาม ที่นำด้วยการ “แพทย์–จริยธรรมและนวัตกรรมที่ทันสมัย”  หลังบุกตลาดต่างชาติจริงจัง โดยมีแผนทำเป็น Medical Tourism แบบมีคุณภาพและมาตรฐานสูง คือมาท่องเที่ยวแล้วมาใช้บริการที่คลินิกและโรงพยาบาลของ The Ritz Group  โดยมุ่งเจาะลูกค้าจีนและประเทศเพื่อนบ้าน  

“เราอยากถูกจดจำว่า The Ritz เป็นแบรนด์ที่ทำให้คน “มั่นใจในตัวเอง” ด้วยมาตรฐานแพทย์ที่ไว้ใจได้ เครื่องมือที่ทันสมัยมาตรฐานสูง ไม่ใช่แบรนด์ที่ดังเพราะโปรแรงชั่วคราว ลูกค้าต้อง “สวยขึ้นอย่างปลอดภัย” ไม่ใช่ “สวยเร็วแต่เสี่ยง”.

เลดี้แจน

คลิกอ่านคอลัมน์ "Business On My Way" เพิ่มเติม



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ