
หลังเปิดให้ลงทะเบียนวันแรกเมื่อ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา สำหรับมาตรการ "คนละครึ่งพลัส" ก็คึกคักถล่มทลาย! ประชาชนกดรับสิทธิ์ เต็มโควตา 20 ล้านสิทธิ์ ผ่านแอปฯ เป๋าตังอย่างรวดเร็ว สะท้อนความต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายและกำลังซื้อที่พร้อมจะกลับมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ด้วยเป้าหมายของรัฐบาลเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนไม่ทันในรอบนี้ รัฐบาลประกาศให้รอ เฟส 2 ในเดือนมกราคม 2569 โดยผู้ที่พลาดหวังรอบแรกจะได้รับสิทธิลงทะเบียนก่อน
จากมาตรการดังกล่าว สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เห็นว่ารัฐบาลชุดใหม่สามารถเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะมาตรการระยะสั้นแบบ “Quick Big Win” ที่มุ่งกระตุ้นกำลังซื้อและเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศ ถือเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
ณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า นับตั้งแต่รัฐบาลประกาศมาตรการเศรษฐกิจชุดแรก สมาคมฯ เริ่มเห็นสัญญาณบวกของบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลจับจ่ายปลายปี เชื่อว่าจะเป็นจังหวะสำคัญที่ภาคค้าปลีกสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับมาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” ถือเป็นหนึ่งในนโยบายที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้อย่างตรงจุด และช่วยให้ GDP ไทยขยายตัวได้ราว 0.21–0.22% เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการดังกล่าว ตามการประเมินของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงปลายปี
ขณะเดียวกันช่วยกระตุ้นยอดขายของภาคค้าปลีก โดยเฉพาะร้านค้ารายย่อยและธุรกิจเอสเอ็มอีในระดับชุมชน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเล็กได้ฟื้นตัว
จากผลสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retail Sentiment Index: RSI) ซึ่งสมาคมผู้ค้าปลีกไทย จัดทำร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม–ธันวาคม 2568) มีแนวโน้มปรับตัวสูงสุดของปี ทำสถิติ New High ในรอบ 12 เดือน จาก 52.4 จุด มาอยู่ที่ 63.8 จุด
สะท้อนถึงผู้ประกอบการค้าปลีกมีความมั่นใจและความหวังที่ดีกับรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงปัจจัยหนุนสำคัญทั้งการเข้าสู่เทศกาลส่งท้ายปี
โดยผู้ประกอบการค้าปลีก คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะเพิ่มยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 10% โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและร้านค้าในต่างจังหวัด เมื่อเทียบกับไม่มีมาตรการดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ เสนอว่า ในเฟสถัดไปของโครงการ “คนละครึ่ง” ภาครัฐควรพิจารณาเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านค้าทุกขนาดสามารถเข้าร่วมได้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าอย่างทั่วถึงและเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในภาคค้าปลีกได้กว่า 60,000–70,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญต่อบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งกรอบวงเงินของโครงการนี้ ไว้ที่ 44,000 ล้านบาท และครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 20 ล้านคน
นอกจากนี้ สมาคมฯ ขอเสนอให้ภาครัฐพิจารณาเดินหน้าโครงการ “Easy e-Receipt” หรือ “ช้อปดีมีคืน” อีกครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม 2568 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงไฮซีซัน โดยเสนอให้ปรับเงื่อนไขการเข้าร่วมให้สะดวกขึ้น และ ครอบคลุมสินค้าทุกประเภทภายในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท คาดว่าจะช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านบาท
ณัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่เรายังต้องจับตาคือ หลังสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นระยะสั้น กำลังซื้อของประชาชนจะสามารถต่อเนื่องได้หรือไม่ เพราะแม้มาตรการภาครัฐช่วยสร้างแรงหนุนให้เศรษฐกิจในช่วงสั้น แต่ปัจจัยพื้นฐานอย่างรายได้และหนี้ครัวเรือนยังเป็นความท้าทายที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง เพื่อให้กำลังซื้อฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ สมาคมฯ มองว่าแม้มาตรการระยะสั้นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทันที แต่รัฐบาลควรดำเนินควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว เพื่อสร้างรากฐานให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในอนาคต และรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อเนื่อง โดย เสนอแนวทางสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
การลดภาษีสินค้านำเข้า (Import Tax) กลุ่มไลฟ์สไตล์และแฟชั่น อาทิ เสื้อผ้า น้ำหอม และเครื่องสำอาง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งมีอัตราภาษีสินค้าหรูต่ำกว่าไทยหลายเท่าตัว โดยปัจจุบันไทยมีอัตราภาษีสินค้านำเข้ากลุ่มนี้สูงถึง 20–30%
รวมทั้งพิจารณา การนำร่องจัดทำ “แซนด์บ็อกซ์เขตปลอดภาษี (Free Tax Zone)” ในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เป็นต้น ทั้งนี้ การลดภาษีจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมาชอปปิงในประเทศไทยมากขึ้น เพิ่มแรงส่งให้กับภาคค้าปลีก โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการอื่น ๆ พร้อมยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เป็น “Shopping Paradise แห่งอาเซียน” หรือ สวรรค์แห่งการชอปปิง อย่างแท้จริง
การป้องกันสินค้านำเข้าราคาถูกที่ด้อยมาตรฐาน เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ พร้อมส่งเสริมให้ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวเลือกบริโภคสินค้าที่ผลิตโดยคนไทย โดย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย พร้อมให้การสนับสนุน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการร่วมผลักดันให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้รับการรับรองสัญลักษณ์ “Made in Thailand” เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสินค้าและขยายโอกาสทางการค้าทั้งในและต่างประเทศ
ยกระดับทักษะแรงงาน (Upskill / Reskill) เพื่อให้แรงงานไทยในภาคค้าปลีกมีศักยภาพและสามารถปรับตัวกับเศรษฐกิจยุคใหม่ โดย ใช้มาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพเป็นเกณฑ์กำหนดค่าจ้างแทนระบบค่าแรงขั้นต่ำ
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มองว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน หากภาครัฐดำเนินนโยบายที่แข็งแกร่งในทุกมิติ ทั้งการกระตุ้นกำลังซื้อ การเสริมความสามารถการแข่งขัน และการพัฒนาคุณภาพแรงงาน โดยเชื่อมั่นว่าหากรัฐบาลขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะสามารถนำพาเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรง และก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างแท้จริง
ทางฝั่งผู้ประกอบการอย่าง ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN ได้กล่าวว่า โครงการคนละครึ่ง พลัส เป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และช่วยเพิ่มความคุ้มค่าในการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ได้จริง ผู้ใช้สามารถสั่งผ่าน LINE MAN และชำระด้วยสิทธิคนละครึ่งพลัสได้สะดวก ขณะเดียวกันยังช่วยกระจายรายได้ให้ร้านอาหารและไรเดอร์ทั่วประเทศ
โดยที่ผ่านมา มีร้านอาหารเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งกับแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่เกือบ 100,000 ร้าน โดยกว่า 60–70% เลือกใช้ LINE MAN นอกจากนี้ยังมียอดผู้ใช้งานคนละครึ่ง ผ่าน LINE MAN จากเฟสที่ผ่านมาทั้งหมดกว่า 7 ล้านสิทธิ์ ซึ่งสะท้อนถึงความเป็น เบอร์ 1 คนละครึ่ง โดยพร้อมเดินหน้าสนับสนุนร้านอาหารและผู้บริโภคเต็มรูปแบบ และใช้พลังของ หนุ่ม กรรชัย ผลักดันการใช้คนละครึ่ง ผ่าน LINE MAN ให้เข้าถึงทุกร้าน ทุกบ้าน และทุกชุมชนทั่วประเทศ
ขณะที่ แกร็บ ได้ขานรับนโยบาย “Quick Big Win” ของทางภาครัฐฯ เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ด้วยบริการฟู้ดเดลิเวอรี หวังกระตุ้นการจับจ่ายและแบ่งเบาค่าครองชีพผู้บริโภคในช่วงปลายปี พร้อมกระจายรายได้และหนุนผู้ประกอบการร้านอาหาร
งัดแคมเปญ “GrabFood X คนละครึ่งพลัส ดันยอดโตสูงสุด 9 เด้ง” จัดเต็มสิทธิประโยชน์ถึง 9 ต่อตลอดโครงการ ชูไฮไลต์หั่นค่าคอมมิชชันเหลือ 7% สำหรับร้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ในวันแรก (3 พฤศจิกายน 2568) เสริมทัพด้วยโปรแกรมดันยอดขาย-ส่วนลดพิเศษจากแกร็บมูลค่าสูงสุด 10,000 บาท พ่วงให้สินเชื่อสำหรับร้านที่เข้าร่วมโครงการฯ ด้วยวงเงินสูงสุดถึง 1 ล้านบาท พร้อมทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาทลุยโปรโมตแคมเปญทั่วประเทศ
จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “การกลับมาของโครงการคนละครึ่งพลัสในปีนี้ แกร็บเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนไทยผู้ได้รับสิทธิ์กว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศ ให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชันแกร็บ พร้อมกันนี้ เรายังเดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการฯ นี้ กว่า 800,000 รายทั่วประเทศ
ผ่านแคมเปญพิเศษที่จัดเต็มสิทธิประโยชน์และโปรแกรมส่งเสริมการขายตลอดโครงการมากถึง 9 เด้ง ควบคู่กับการพัฒนาระบบให้ร้านค้าใช้งานได้ง่าย ทั้งการสมัคร การรับออเดอร์ ไปจนถึงรายงานการขาย ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการสร้างยอดขายให้เติบโตแบบไม่มีสะดุด ทั้งหมดนี้เพื่อกระตุ้นการบริโภคและเพิ่มยอดขายให้กับร้านอาหารโดยตรง ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งรายเล็กและรายย่อย ไรเดอร์ รวมไปถึงทุกภาคส่วนในห่วงโซ่ธุรกิจร้านอาหาร เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบาย Quick Big Win ของทางภาครัฐ
ภายใต้แคมเปญ “GrabFood X คนละครึ่งพลัส ดันยอดโตสูงสุด 9 เด้ง” แกร็บเตรียมมอบสิทธิประโยชน์แบบจัดเต็มถึง 9 ต่อให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” กับแกร็บฟู้ด ซึ่งประกอบด้วย
เริ่มประกาศแพลตฟอร์มแรก แกร็บหั่นค่าคอมมิชชัน (GP) เหลือเพียง 7%สำหรับร้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ในวันแรกที่เปิดรับสมัคร วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 และสำหรับร้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป จะถูกคิดค่าคอมมิชชันในอัตรา 9%
อัดโปรแกรมดันยอดขายเพื่อสนับสนุนร้านเล็ก ได้แก่ แคมเปญ “แกร็บช่วยลด” โดยแกร็บร่วมสมทบแจกโค้ดส่วนลดจัดเต็มให้ร้านค้าสูงสุด 10,000 บาท และแคมเปญ “ร้านเล็กค่าส่งถูก” ซึ่งช่วยดึงดูดลูกค้าด้วยโปรโมชันส่งฟรีทุกออเดอร์ผ่านการจัดส่งแบบประหยัด (SAVER) ระยะทางสูงสุด 5 กม. สำหรับร้านค้าที่สมัครแคมเปญสำเร็จระหว่างวันที่ 3 - 5 พฤศจิกายน 2568 เข้าร่วมแคมเปญ ฟรี! สูงสุด 30 วัน
ให้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน โดยร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการฯ มีสิทธิ์ได้รับ “สินเชื่อเงินสดทันใจ”จากแกร็บ โดยมีวงเงินกู้สูงสุดถึง 1,000,000 บาท พร้อมรับดอกเบี้ยคืนสูงสุด 300 บาท
นอกจากนี้ แกร็บยังมอบสิทธิประโยชน์เสริมอื่นๆ แบบจัดเต็ม อันได้แก่
จัดเต็มสื่อโฆษณาและกิจกรรมการตลาด โดยแกร็บทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาทเพื่อร่วมโปรโมตแคมเปญผ่านสื่อโฆษณาครบวงจร พร้อมดึงทัพดาราดังร่วมสร้างสีสันและการรับรู้ในวงกว้าง นำโดย เบลล่า-ราณี, เจมีไนน์-นรวิชญ์, โฟร์ท-ณัฐวรรธน์, สกาย-วงศ์รวี, นานิ-หิรัญกฤษฎิ์, หลิงหลิง-ศิริลักษณ์ และ ออม-กรณ์นภัส
ผู้ประกอบการร้านอาหารที่สนใจเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” กับแกร็บฟู้ด เพื่อรับสิทธิประโยชน์จากแคมเปญ “GrabFood X คนละครึ่งพลัส ดันยอดโตสูงสุด 9 เด้ง” สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568 เพียงทำการลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิบนแอปฯ ถุงเงิน และเลือกเข้าร่วมคนละครึ่งพลัสกับแกร็บฟู้ด ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney