
21 ตุลาคมนี้ ไม่ใช่แค่วันเปิดโรงแรมใหม่ของพัทยา แต่คือวันที่ “เจ้าพ่อคฤหาสน์หรู” อย่าง บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ลงสนามใหม่ในโลก Hospitality อย่างเต็มตัว
การร่วมทุนระหว่าง SYNTEC Construction และ SCX Corporation (ในเครือ SC Asset) เปิดตัวโรงแรม “The Standard, Pattaya Na Jomtien” ถือเป็นดีลระดับพาดหัว เพราะนี่เป็นทั้งการเจอกันของ 2 ผู้นำในระบบนิเวศอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งฝั่งหนึ่งเชี่ยวชาญด้านก่อสร้าง ส่วนอีกฝั่งเป็นมือพัฒนาและนักลงทุนอสังหาฯ ระดับพรีเมียม โรงแรมนี้ จึงไม่ใช่แค่ “สวยและแพง” ในแง่รีสอร์ตระดับโลกแห่งที่ 3 ในไทย ภายใต้แบรนด์ The Standard และเป็นตัวแทนของโรงแรมไลฟ์สไตล์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในหมู่นักเดินทางสายแฟชั่นและศิลปะ
แต่คือสัญญาณของ “การเปลี่ยนทิศ” ของ SC Asset ที่วันนี้ไม่ได้ขายแค่บ้านหรูในราชพฤกษ์อีกต่อไป แต่กำลังประกาศว่าบริษัทพร้อมปรับตัว รองรับโอกาสทางธุรกิจครั้งใหญ่ ภายใต้ เทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ ซึ่งกระแสตอบรับร้อนแรงจน ยอดจองล่วงหน้าพุ่งทะลุ 95% ก็สะท้อนถึงความ “ถูกจริต” ของกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่มองหาความพิเศษมากกว่าคำว่า “หรูหรา”
ย้อนไป SC Asset มีแผนใหญ่ ในเดินหน้าสร้างโอกาสเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนผ่านการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Property) หรือกลุ่ม Engine 2 อย่างน่าจับตามอง หลังจาก “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ผู้บริหารสูงสุด ชี้ว่า ความไม่แน่นอนที่มีมากขึ้นในโลกธุรกิจ การฝากอนาคตไว้กับธุรกิจบ้านอย่างเดียว คือ ความเสี่ยงสูงสุด
โดยบริษัท มีเป้าหมายภายในปี 2572 สร้างสัดส่วนของกำไรจาก อสังหาฯสร้างรายได้ประจำให้มากกว่า 20% ซึ่งประกอบไปด้วย ธุรกิจคลังสินค้า , อาคารสำนักงาน , อพาร์ทเมนท์ และโดยเฉพาะโรงแรม โดยอาจกล่าวได้ว่า นี่จะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนตัวใหม่ ธุรกิจที่ให้มากกว่า “ยอดขาย” แต่คือ “รายได้ที่ไม่หลับใหล”
ซึ่งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า SC Asset มีแผนสร้างฐานรายได้ประจำจาก ธุรกิจโรงแรมกว่า 2,000 ห้องพัก ภายใต้หลายแบรนด์ ทั้งในและต่างประเทศ ทุกโครงการในพอร์ตนี้ จะทำหน้าที่เป็น “Safe Zone” ทางการเงิน สร้างกระแสเงินสดหมุนเวียนที่มั่นคง ช่วยบาลานซ์รายได้ของบริษัทในวันที่ตลาดอสังหาฯ อยู่อาศัยผันผวน
พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ถ้า Engine 1 คือ “การขายบ้านแล้วจบ” Engine 2 จะเป็นการลงทุนเพื่อปล่อยให้เติบโต ซึ่งคาดเดาว่า นั่นคือสิ่งที่ SC Asset ต้องการให้เกิดขึ้นจริง ผ่านการดำเนินงานของบริษัทลูก SCX
ก่อนถึง The Standard พัทยา SCX Hospitality เพิ่งเปิดตัว KROMO Bangkok, Curio Collection by Hilton ร่วมทุนกับ Daiwa House ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น มูลค่าโครงการกว่า 2,800 ล้านบาท ซึ่งกลายเป็นแฟล็กชิปของ Curio ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีโรงแรม “YANH ราชวัตร” ที่เป็นแบรนด์ของ SC เอง ซึ่งจะเห็นว่ากลยุทธ์โรงแรมของ SC ไม่ใช่การปักธง “จำนวนห้องพัก” แต่คือการสร้างพอร์ตโรงแรมที่ “ต่างแต่ครบ”
ในมุมมองของ “รชฎ นันทขว้าง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน จำกัด หรือ SCX Corporation กล่าวว่า ทั้งหมดอยู่ภายใต้แนวคิดเดียวกันคือ “ขายประสบการณ์ ไม่ขายห้องพัก” หลังจากมองเห็นการเติบโตของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Upper-Upscale Segment ที่ต้องการประสบการณ์พิเศษเฉพาะตัว
ภาพรวมนักท่องเที่ยวพัทยายุคใหม่ มีไลฟ์สไตล์และความต้องการที่หลากหลาย มีทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะสั้นชาวไทย จีน อินเดีย มาเลเซีย เกาหลีใต้ กลุ่ม High-Spending Lifestyle Seekers ที่มองหาที่พักมีสไตล์ ให้ความสำคัญกับการออกแบบ ร้านอาหารเครื่องดื่ม กิจกรรมการท่องเที่ยวยามค่ำคืน (NightLife) ตลอดจนประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์
ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมคิดเป็น 58% ของรายได้รวมจาก Recurring Income ภายในปี 2572 โดย SCX Hospitality จะขยายโรงแรมครอบคลุม 4 เมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ, พัทยา, ภูเก็ต และสมุย เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ที่กลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน พร้อมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง
โดยโรงแรมแห่งที่ 4 ในพอร์ตฟอลิโอของบริษัทจะร่วมมือกับ “IHG Hotels & Resorts” เพื่อพัฒนาโรงแรม “โวโค กรุงเทพฯ สยาม” (voco Bangkok Siam) มูลค่า 2,200 ล้านบาท บนทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ตรงข้ามศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ ใกล้ BTS สยาม พร้อมให้บริการปี 2572 ต่อยอดพอร์ตธุรกิจรายได้ประจำ โรงแรมระดับพรีเมียมขนาด 350 ห้อง บนทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้ BTS สยาม มูลค่ากว่า 2,200 ล้านบาท
ในขณะที่จำนวน “นักท่องเที่ยวรวม” ของไทยอาจยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด แต่สิ่งที่กลับมาเร็วกว่าคือ “นักท่องเที่ยวคุณภาพ” กลุ่ม High-Spending, Digital Nomads และนักท่องเที่ยวที่มองหา Unique Experience มีการใช้จ่ายต่อหัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
“รชฎ” ชี้ว่า ตลาดโรงแรมหลังจากนี้ จึงไม่ได้เติบโตในเชิง “ปริมาณ” อีกต่อไป แต่โตในเชิง “มูลค่า”และนั่นคือช่องว่างที่ SC Asset เข้ามาจับ เป็นตัวแทนของ โรงแรมไลฟ์สไตล์ที่ขาย “ความรู้สึกและรสนิยม” มากกว่าห้องพัก
ขณะที่แนวคิด “ลดความเสี่ยง–เพิ่มโอกาส” เพราะธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูงและใช้เวลาคืนทุนยาว การร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่งทั้งในแง่การเงิน และแบรนด์ยอดนิยม จึงเป็นสมการที่ตอบโจทย์มากที่สุด
สุดท้ายจะเห็นได้ว่า ในวันที่อสังหาฯ เพื่อขายอาจชะลอตัว ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนอย่างโรงแรม กลับกลายเป็น “สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง” ที่ดีที่สุดSC Asset จึงไม่ได้แค่สร้างโรงแรม แต่กำลัง “รีแบรนด์ทั้งองค์กร” สู่บทใหม่ในชื่อว่า บริษัทอสังหาฯ ที่อยู่รอดได้แม้ในวันที่ไม่ต้องขาย
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney