ฟู้ดรีเทลเปลี่ยนโฉมสู้ศึกใหม่ เดอะมอลล์กรุ๊ป พลิกโมเดลธุรกิจเร่งสปีดทันผู้บริโภค

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ฟู้ดรีเทลเปลี่ยนโฉมสู้ศึกใหม่ เดอะมอลล์กรุ๊ป พลิกโมเดลธุรกิจเร่งสปีดทันผู้บริโภค

Date Time: 16 ต.ค. 2568 06:09 น.

Summary

เดอะมอลล์ กรุ๊ปมองค้าปลีกปี 2568 โตไม่เกิน 3% เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเต็มตัว ไฮเปอร์มาร์เก็ตเหนื่อย ซุปเปอร์มาร์เก็ตครองใจผู้บริโภค เผยกลยุทธ์ “4A Strategy” รับโลกรีเทลยุคใหม่ ปรับ กรูเม่ต์ มาร์เก็ต สู่ไลฟ์สไตล์ เดสติเนชั่น 

Latest

“MELAND” สยามพารากอน สวนสนุกในร่มแห่งแรกนอกจีน แลนด์มาร์กใหม่ งบลงทุน 400 ล้าน ค่าเข้าหลักพันบาท

นายศุภวุฒิ ไชยประสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริหารสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ตและฟู้ด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดค้าปลีกไทยปี 2568 ยังคงเติบโตต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ไม่เกิน 3% จากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

“แม้จะเป็นตัวเลขที่ดูไม่หวือหวา แต่ยังถือเป็นการเติบโตท่ามกลางความท้าทายตลาดค้าปลีกไทยกำลังอยู่ในช่วงปรับสมดุลครั้งใหญ่ หลังจากโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างถาวร”

 “ซูปปอร์มาร์เก็ต” ครองสมรภูมิใหม่

ในขณะที่กลุ่ม ไฮเปอร์มาร์เก็ต ต้องเผชิญกับยอดขายที่ทรงตัว และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงขึ้นผู้บริโภคยุคใหม่กลับหันมานิยม ซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าขนาดกลาง มากขึ้น ส่วนร้านสะดวกได้ขยายจากไซส์เล็กให้ใหญ่ขึ้น มีที่จอดรถ เพราะต้องการความสะดวก รวดเร็ว และประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ครบในจุดเดียว

“วันนี้คนไม่ได้อยากเดินห้างใหญ่นาน ๆ แล้ว ทุกคนต้องการความคุ้มค่า ความง่าย และการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด จุดสมดุลใหม่ของตลาดรีเทลจึงอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตรีเทลที่บริการได้ทุกกลุ่ม และตอบโจทย์ทุกฟอร์แมต”

การเติบโตของรีเทลขนาดกลางยังสะท้อนผ่านการขยายตัวของซูปเปอร์มาร์เก็ตในพื้นที่ชานเมือง ซึ่งมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากคนเมืองย้ายฐานอยู่อาศัยออกไปยังโซนรอบนอก เช่น บางกะปิ บางแค และงามวงศ์วาน


กลยุทธ์ “4A” เข็มทิศรีเทลยุคใหม่

เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจในระยะยาวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ประกอบด้วย

  1.Adaptation คือการปรับตัว รีเทลยุคใหม่ต้องยืดหยุ่นและพลิกบทบาทอยู่เสม ซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ได้ขายของสดเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่กลายเป็นพื้นที่ของ อาหาร ไลฟ์สไตล์ และประสบการณ์ ในเวลาเดียวกัน ขณะเดียวกัน ร้านอาหารเองก็เริ่มขยายมาขายของสดและของแห้งในพื้นที่เดียวกัน

“วันนี้ร้านอาหารบางแห่งกลายเป็นมินิซูเปอร์ ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตก็ขายอาหารพร้อมทาน นี่คือภาพใหม่ของฟู้ดรีเทลที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก”

2. Differentiation การสร้างความแตกต่าง การแข่งขันที่รุนแรงทำให้ “ความต่าง” กลายเป็นอาวุธหลัก รีเทลที่ไม่มีนวัตกรรม หรือไม่สร้างเอกลักษณ์ของตัวเองจะถูกตลาดกลืนหายอย่างรวดเร็ว

“ใครอยู่เฉย ๆ จะถอยหลัง และสุดท้ายก็จะไม่รอด เพราะทุกแบรนด์กำลังหาความต่างที่จับต้องได้”

3. Realistic การพูดจริง ทำจริง โลกยุคนี้ไม่ต้องการแบรนด์ที่พูดเยอะ แต่ต้องการแบรนด์ที่ทำจริง เดอะมอลล์ กรุ๊ป จึงเน้นแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่จับต้องได้เช่น การจัดการขยะ และระบบลดการสูญเสียอาหาร

“เรื่องออร์แกนิกหรือซัสเทนเนเบิลไม่ใช่คำพูดหรูอีกต่อไปต้องเริ่มจากสิ่งที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน”

4  Alliance การสร้างพันธมิตร ในยุคนี้ไม่มีใครอยู่รอดเพียงลำพังแบรนด์ต้องมีพาร์ทเนอร์ที่มีคุณภาพและมีเป้าหมายเดียวกันตั้งแต่ร้านอาหารที่คอลแลบ ไปจนถึงแบรนด์ต่างประเทศที่ร่วมเปิดตลาด

“เรามองพาร์ทเนอร์ไม่ใช่แค่คู่ค้าทางธุรกิจ แต่ต้องเป็นคนที่มีเคมีตรงกันและเติบโตไปด้วยกันได้ในระยะยาว”

สูตรใหม่ของรีเทล “เร็ว – ใหญ่ – ตรงจุด”

ผู้บริหารเดอะมอลล์กรุ๊ป ย้ำว่า โลกของฟู้ดรีเทลวันนี้เปลี่ยนเร็วกว่าที่เคย ร้านอาหารมีวงจรสั้นลง ต้องปรับตัวแทบทุกเดือน ส่วนธุรกิจค้าปลีกเองก็ต้อง “รีเฟรช” แทบทุกวัน

“สินค้าใหม่โพสต์วันนี้ พรุ่งนี้อาจถูกลืมแล้วดังนั้นธุรกิจที่รอดไม่ใช่รายที่ใหญ่ที่สุด แต่คือรายที่เร็วที่สุด และเข้าใจลูกค้าที่สุด  ต้องเร็ว ออกสินค้าใหม่ให้ทันทุกเทรนด์ ต้องมีความใหญ่ เติบโตด้วยพันธมิตร ไม่ใช่ลำพัง และเข้าใจจริงว่าผู้บริโภคต้องการอะไร

“อดีตเราพูดว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หรือปลาเร็วกินปลาช้าแต่วันนี้ต้องทั้งเร็ว ทั้งใหญ่ และต้องว่ายให้ตรงทาง”

“กรูเมต์ มาร์เก็ต” รีแบรนด์ครั้งใหญ่ สู่ “ไลฟ์สไตล์ เดสทิเนชั่น”

หนึ่งในหัวใจของกลยุทธ์ปีนี้ คือการยกระดับกรูเม่ต์มาร์เก็ต จากซุปเปอร์มาร์เก็ตพรีเมียม สู่พื้นที่ที่ผสมผสาน “ช็อป–ชิม–ใช้ชีวิต” ในที่เดียว 

“เราต้องการให้ลูกค้ามาแล้วอยากอยู่ ไม่ใช่มาแล้วรีบกลับ ซุปเปอร์มาร์เก็ตของเราต้องเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของลูกค้า ที่ผ่านมาได้ลงทุนปรับโฉมหลายสาขาให้เป็นคอนเซ็ปต์ Lifestyle Experience

เช่น สาขาบางกะปิ และงามวงศ์วานโดยปรับพื้นที่ขายให้เปิดโล่ง เพิ่มโซนอาหารพร้อมทานและสินค้าเพื่อสุขภาพปัจจุบันมี 16 สาขา ซึ่ง 7 สาขาเป็นสแตนอะโลน การขยายสาขาจะมีหลากหลายรูปแบบตามความยืดหยุ่นของลูกค้าในแต่ละพื้นที่”

นอกจากนี้ ยังนำเทคโนโลยีอย่าง Heat Map, Shelf Analytics และ Digital Price Tagมาเก็บข้อมูลการเดินของลูกค้าแบบเรียลไทม์ เพื่อปรับเลย์เอาต์ร้านตามพฤติกรรมจริง ผลลัพธ์คือ ลูกค้าใช้เวลาในร้านนานขึ้น จากเฉลี่ย 40 นาที เป็นเกือบ 1 ชั่วโมง และยอดขายบางหมวด เช่น ไวน์และชีส เติบโตถึง 3 เท่าภายใน 3 ปี


รีเทลขับเคลื่อนด้วย “Data” ใครไม่มีอยู่ไม่ได้

เดอะมอลล์ กรุ๊ป ถือเป็นหนึ่งในรีเทลรายใหญ่ที่ใช้ข้อมูลสมาชิก M Card ซึ่งมีฐานข้อมูลมากกว่า 6.2 ล้านรายเพื่อวิเคราะห์เชิงลึกตั้งแต่พฤติกรรมการซื้อ ความถี่ในการเข้าร้านไปจนถึงช่วงเวลาที่ลูกค้าใช้ในแต่ละโซน

“พูดได้คำเดียว ถ้าใครไม่มี Data วันนี้ ตายแน่นอนเพราะการแข่งขันไม่ใช่แค่สินค้า แต่คือข้อมูลลูกค้า”

ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปพัฒนา ระบบ Hyper-Personalization เพื่อแนะนำโปรโมชั่น สินค้า และประสบการณ์เฉพาะบุคคลผ่าน M Card Application พร้อมกันนั้น เดอะมอลล์ กรุ๊ป ยังใช้ AI และ Predictive Analytics

ในการคาดการณ์ความต้องการสินค้า รวมถึง Churn Forecastที่ตรวจจับสัญญาณลูกค้าที่อาจ “หายไป” ก่อนเกิดขึ้นจริง

“ลูกค้าหายหนึ่งคน เสียเท่ากับง้อแฟนที่หมดใจ  ใช้เงินเยอะและอาจไม่กลับมาอีกสิ่งสำคัญคือป้องกันก่อนที่เขาจะหาย”

จากการใช้จ่ายเงินสู่การดึงผู้คนมาใช้ชีวิต 

แนวคิดใหม่ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป คือทำให้ลูกค้า “ใช้เวลา” กับแบรนด์มากขึ้นเพราะยิ่งอยู่ในพื้นที่นาน ความผูกพันยิ่งเพิ่ม และการซื้อก็เกิดขึ้นง่ายขึ้น ในต่างประเทศ ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งมีดีเจเปิดเพลงระหว่างวันลูกค้าช็อปปิ้งไปพร้อมฟังเพลง ชิมเนื้อ ชิมชีส และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน กลายเป็นชุมชน ที่สร้างความแตกต่างจากการช็อปปิ้งออนไลน์

“นี่คือสิ่งที่เราต้องการเห็นในไทย ร้านค้ากลายเป็นพื้นที่ของชีวิต ไม่ใช่แค่จุดขายสินค้า นี่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นได้”




Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ