
"ย่านพหลโยธิน" นั้นนับเป็นหนึ่งในทำเลทองของกรุงเทพฯ ที่มีความคึกคักและเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยเฉพาะช่วงต้นถนนที่เต็มไปด้วยสำนักงานใหญ่และแหล่งที่อยู่อาศัย ทำให้เป็นศูนย์รวมของผู้คนหลากหลายกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมองหาไลฟ์สไตล์ที่ครบครัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมี “เซ็นทรัลลาดพร้าว” ซึ่งเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญที่อยู่คู่ย่านนี้มานานกว่าสี่ทศวรรษ
แต่ในวันนี้ พื้นที่แห่งนี้กำลังจะก้าวไปอีกขั้นสู่การเป็น “มหานครแห่งอนาคต” เมื่อ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุดที่จะเข้ามาพลิกโฉมและยกระดับศักยภาพของย่านนี้ให้กลายเป็นศูนย์กลางระดับโลก นั่นคือ "The Central พหลโยธิน" ซึ่งจะเป็นโปรเจกต์เรือธงที่เข้ามาเติมเต็มและสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับย่านลาดพร้าวมากยิ่งขึ้น
ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา Chief Marketing Officer บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ได้กล่าวถึงศักยภาพของทำเลนี้ โดยอ้างอิงข้อมูลล่าสุด ที่ระบุว่า พหลโยธินช่วงต้นติดอันดับ Top 10 ทำเลราคาที่ดินแพงที่สุดในประเทศไทยในปี 2568 ด้วยราคาประเมินที่สูงถึง 1.9 ล้านบาทต่อตารางวา และมีอัตราการเติบโตถึง 5% ซึ่งสูงกว่าย่านสำคัญอย่างเพลินจิต-ชิดลม, สุขุมวิท, สีลม และสาทร ตัวเลขเหล่านี้จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพการเติบโตที่ชัดเจน
ดร. ณัฐกิตติ์ ยังเสริมอีกว่า “เรามองเห็นการเติบโตของโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีโครงการที่พักอาศัยรอบ The Central พหลโยธิน มากถึง 472 โครงการ และกว่า 50% เป็นโครงการระดับ Upper Segment ขึ้นไป นอกจากนี้ อาคารสำนักงานต่าง ๆ ก็มีแนวโน้มขยายตัวสู่ย่านรอบนอก โดยเฉพาะในแนว North Corridor ทั้งพหลโยธินและวิภาวดีรังสิต
ดังนั้นกลุ่มคนทำงานจะเข้ามาในพื้นที่และเป็นกำลังซื้อที่มหาศาล ในส่วนอาคารสำนักงานที่ตั้งรอบโครงการมีถึง 52 แห่งในจำนวนนี้ 15 แห่งเป็น Grade A Office สะท้อนถึงคุณภาพของทำเลและศักยภาพการเป็นศูนย์กลางWorkplace แห่งอนาคตของกรุงเทพฯ ในส่วนของ Quality Neighbourhood โครงการยังแวดล้อมด้วยโรงเรียนชั้นนำ 51 แห่ง (เป็นโรงเรียนอินเตอร์ 6 แห่ง), มหาวิทยาลัยชั้นนำ 9 แห่ง, และโรงแรม 41 แห่ง
นอกจากปัจจัยทางด้านทำเลที่โดดเด่นแล้ว "The Central พหลโยธิน" ยังตั้งอยู่บนถนนสายหลักสองสาย ได้แก่ ถนนวิภาวดีรังสิตและพหลโยธิน ซึ่งมีปริมาณรถยนต์สัญจรผ่านถึง 337,000 คันต่อวัน รวมถึงการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบาย ทั้งรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ที่มีผู้โดยสารเฉลี่ย 15,600 คนต่อวัน และรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว ที่มีผู้โดยสารเฉลี่ย 35,100 คนต่อวัน
และย่านดังกล่าวยังมีดีมานด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีประชากรในพื้นที่ Catchment Area ประมาณ 2.5 ล้านคน และจากฐานข้อมูลของเซ็นทรัลพัฒนา พบว่าในย่านนี้มี กลุ่มลูกค้า Wealth Segment ที่มีกำลังซื้อสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนกรุงเทพฯ ถึง 2.3 เท่า ยอดขายต่อพื้นที่ (Sales per GLA) ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์การค้าในกรุงเทพฯ ถึง 45% และจำนวนผู้ใช้บริการก็มากกว่าศูนย์การค้าโดยเฉลี่ยถึง 2.19 เท่า
อีกทั้งในอนาคตหลังการเปิดตัวโครงการ คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก 30% ยิ่งไปกว่านั้น ย่านนี้ยังเชื่อมต่อโดยตรงกับ สนามบินดอนเมือง ซึ่งรองรับผู้โดยสารถึงราว 30 ล้านคนต่อปี และกำลังมีแผนขยายโครงการเพื่อเพิ่มศักยภาพ ทำให้สามารถดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเข้ามายังย่านลาดพร้าว-พหลโยธินได้มากขึ้นอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ โครงการ "The Central พหลโยธิน" จึงจะเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดการเติบโตใหม่ ๆ และเป็นตัวเร่งที่สำคัญในการยกระดับย่านให้กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจและไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ "The Central พหลโยธิน" ถูกออกแบบมาให้เป็นพื้นที่ที่เปิดรับคนรุ่นใหม่และคนทุกกลุ่ม พร้อมรองรับกิจกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่ Urban Sport Community, Immersive Art Destination, Experiential Discovery Zone และ Family Entertainment นอกจากนี้ยังเป็น Collective Social Ground หรือพื้นที่สำหรับทุกคนอย่างแท้จริง อีกทั้งพื้นที่จัดงานยังรองรับ Multi-Cultural Events และมี Convention Hall ขนาดใหญ่กว่า 6,700 ตารางเมตร ซึ่งสามารถรองรับคอนเสิร์ตและอีเวนต์ระดับโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าและกลุ่มงานพัฒนาโครงการ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า ตลอด 45 ปีที่ผ่านมา โครงการระดับ World-Class ของเซ็นทรัลพัฒนาได้เป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับย่านต่าง ๆ ของเมืองและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง จากจุดเริ่มต้นของ "เซ็นทรัล ลาดพร้าว" ซึ่งเป็น Mixed-Use แห่งแรกของไทยและสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการรีเทลมาจนถึงทุกวันนี้
ชนวัฒน์ ยังเสริมอีกว่า ย่านลาดพร้าว-พหลโยธินได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และ "The Central พหลโยธิน" ซึ่งมีมูลค่าโครงการกว่า 21,000 ล้านบาท จะเป็นอีกหนึ่งโครงการระดับโลกที่ต่อยอดความสำเร็จ เพื่อผลักดันย่านนี้ให้เต็มศักยภาพสูงสุดและก้าวขึ้นสู่การเป็น The Next CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ทั้งนี้โครงการนี้ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 49 ไร่ มีพื้นที่ (GBA) รวม 457,409 ตารางเมตร ประกอบด้วยอาคารสูง 7 ชั้นและชั้นใต้ดิน 2 ชั้น พร้อมด้วย Convention Hall ขนาดใหญ่กว่า 6,700 ตารางเมตร
สิ่งที่น่าสนใจของโครงการนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ขนาดที่ใหญ่โต แต่ยังรวมถึงการออกแบบที่เชื่อมโยงพื้นที่ภายในและภายนอกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว หรือ Indoor–Outdoor Seamless Journey
โดยมีไฮไลต์มากมาย อาทิ Central Stage ที่เชื่อมโยงอาหารนานาชาติบนชั้นบนกับสตรีทฟู้ดในชั้นล่าง พร้อมกับจัด Pop-Up Food Events, Market Hall ที่ออกแบบพื้นที่ให้มีความ Dynamic สร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในแต่ละครั้งที่มาเยือน, Waterfall Courtyard ที่เป็นโอเอซิสพร้อม Edible Garden ในแนวคิด From Farm to Table และ Fashion Playlist ที่รวบรวมตั้งแต่ Curated Fashion Houses ไปจนถึง Street Remix ซึ่งเป็นศูนย์รวมของแฟชั่นกีฬาในยุคใหม่
เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ในการมีโรงแรมและออฟฟิศรวมอยู่ด้วย ชนวัฒน์ ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษา แต่มีการวางแผนที่จะพัฒนาโครงการนี้ให้เทียบเท่ากับ Central World โดยมีเป้าหมายที่จะนำแบรนด์ใหม่ ๆ จากต่างประเทศเข้ามามากกว่า 30 แบรนด์ รวมถึงการปรับปรุงพื้นที่และคอนเซปต์ใหม่ของแบรนด์เดิม นอกจากนี้ยังมีการออกแบบพื้นที่ร้านค้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมให้แต่ละร้านค้าเติบโตไปพร้อมกับโครงการ ส่วนโครงการ "เซ็นทรัล ลาดพร้าว" นั้น ในอนาคตอาจมีการปรับปรุงพื้นที่ แต่ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับการรถไฟฯ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน
ชนวัฒน์ ยอมรับว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะปัจจัยสำคัญอย่างจำนวนนักท่องเที่ยวที่แม้จะเริ่มกลับมา แต่ก็ยังไม่เต็มที่เท่าที่ควร และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปก็ส่งผลกระทบด้วยเช่นกัน ขณะที่การส่งออกก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ยังคงมองเห็นถึงความหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในระยะสั้น เช่น มาตรการลดค่าครองชีพ, โครงการที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย และนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ผู้บริหารเชื่อว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยบรรเทาสถานการณ์ได้ไม่มากก็น้อย ประกอบกับแนวโน้มการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจจากสถาบันต่าง ๆ ที่ดูดีขึ้น ทำให้รู้สึกถึงความหวังที่จะช่วยให้เศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้คึกคักมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
จึงอาจกล่าวได้ว่า "The Central พหลโยธิน" ไม่ใช่เพียงแค่ศูนย์การค้าแห่งใหม่ แต่จะเป็น "Iconic Landmark" และ "New Design Landmark" เป็นเมกะโปรเจกต์ที่จะเข้ามา "พลิกโฉม" (Transform) ภูมิทัศน์ของกรุงเทพฯ ตอนเหนือให้กลายเป็น "ย่าน CBD แห่งใหม่"ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของเซ็นทรัลพัฒนาในการสร้าง "แลนด์มาร์ก" ในพื้นที่ใหม่ ๆ นอกเหนือจาก Super Core CBD ที่มีอยู่เดิม โดยโครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ของปี 2569
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney