
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า ทางสมาคมฯ ขอนำเสนอแพ็คเกจ 6 แกนหลักครบวงจร” ต่อรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกุล ขานรับต่อจากนโยบาย “คนละครึ่ง” ของรัฐบาล ที่กำลังจะประกาศใช้ เพื่อให้ธุรกิจร้านอาหารและท่องเที่ยวมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ประกอบด้วย 1. ด้านการเงิน การซอฟต์โลนดอกเบี้ยต่ำ 1–2% วงเงินสูงสุด 5 ล้านบาท/กิจการ โดยมี บสย. ค้ำประกัน 70%ยกเว้น/ลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาต (อาหาร สุขาภิบาล ดนตรีสด สื่อโฆษณา) 50–100% เป็นเวลา 1 ปี มาตรการภาษี: หักค่าใช้จ่ายลงทุนยกระดับครัว ระบบความเย็น พลังงานสะอาด ในรูปแบบ Super Deduction 2.0 (หักเพิ่ม 1.5–2 เท่า)
2. ด้านลดต้นทุนปฏิบัติการ ค่าไฟ–ค่าน้ำอัตราพิเศษ (SME Tariff) สำหรับกิจการบริการขนาดเล็กและกลาง และตลาดกลางวัตถุดิบอาหาร ร่วม อ.ต.ก. และเอกชน เพื่อลดตัวกลาง กดต้นทุนวัตถุดิบลง 5–10%
3. ด้านแรงงาน–ทักษะ อุดหนุนค่าจ้างพนักงานเดิม เดือนละ 1,500–2,000 บาท/หัว ระยะเวลา 6–12 เดือน Upskill/Reskill ด้านภาษา มาตรฐานบริการ Food Safety การตลาดดิจิทัล และการบริหารต้นทุน (ร่วมกับอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัย และแพลตฟอร์มออนไลน์) แรงงานต่างชาติถูกกฎหมายแบบ Fast-Track สำหรับตำแหน่งขาดแคลน พร้อมควบคุมค่าจ้างและสวัสดิการมาตรฐาน
4. ด้านการตลาด–การท่องเที่ยว จัดเทศกาลอาหารระดับจังหวัดและเส้นทาง Food Tourism ตั้งแต่ Street Food ถึง Fine Dining เชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวชุมชน แคมเปญ “Clean Food, Safe & Iconic” ยกระดับมาตรฐานร้านท้องถิ่น พร้อมสร้างคอนเทนต์หลายภาษาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
5. ด้านดิจิทัล–นวัตกรรม Mini-Grant 50,000–150,000 บาท สำหรับพัฒนาเมนูหลายภาษา ระบบจอง POS Inventory เดลิเวอรี และระบบ Loyalty/CRM Open Data การท่องเที่ยว–อาหาร เช่น ความต้องการ ซีซัน เทศกาล เพื่อให้ SMEs ใช้วางแผนธุรกิจ และกองทุนสตาร์ทอัพ FoodTech/TravelTech สนับสนุนโซลูชันลดต้นทุน ลดการสูญเสียอาหาร และใช้พลังงานสะอาด
6. กฎหมาย–มาตรฐาน–ความยั่งยืน One-Stop License สำหรับใบอนุญาตอาหาร ดนตรี ป้าย สุรา ผ่านระบบดิจิทัล ลดขั้นตอนจาก “เดือน” เหลือแค่ “วัน” Green Restaurant/Hotel Program เงินอุดหนุน 30–40% สำหรับอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ลดพลาสติก และจัดการขยะอาหาร และปรับผังเมืองและกฎสถานที่ เพื่อส่งเสริมโซนอาหารกลางคืนที่ปลอดภัย มีมาตรฐานด้านเสียงและสุขอนามัย
ทั้งนี้ในปี 2568 มูลค่าตลาดร้านอาหารและเครื่องดื่มจะอยู่ที่ราว 646,000 ล้านบาท โตเพียง 2.8% จากปีก่อน ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 4.6% สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้น กำลังซื้อผู้บริโภคผันผวน และการท่องเที่ยวที่เสี่ยงไม่โตตามเป้า จากปี 2567 ซึ่งเป็นการปรับลดจากคาดการณ์เดิมที่เติบโต 4.6% หรือมีมูลค่า 657,000 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2567
ทั้งนี้ การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารเครื่องดื่มที่สูง เทรนด์ของร้านอาหารและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ขณะที่ต้นทุนราคาวัตถุดิบอาหารผันผวนในระดับสูง แต่การปรับราคาทำได้จำกัด ส่งผลกระทบต่อรายได้และผลกำไรของผู้ประกอบการ-เป็นอย่างมาก
“ความเสี่ยงของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม มาจากปัจจัยหลักๆ ด้านต้นทุนรอบด้านของธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งค่าแรงที่มีสัดส่วนประมาณ 15% ของต้นทุน ขณะที่ค่าสาธารณูปโภคและค่าเช่ามีสัดส่วนรวมกันกว่า 20% ของต้นทุนรวม รวมถึงราคาวัตถุดิบอาหารซึ่งคิดเป็นประมาณ 35% ของต้นทุน ตลอดจน ต้นทุนที่สำคัญอื่นๆ ตลอดจน นโยบายภาษีจากสงครามการค้าที่ทำให้ราคาสินค้าบางประเภทสูงขึ้น โดยราคาวัตถุดิบในประเทศปรับขึ้นหลายรายการ อาทิ ไข่ไก่ และเนื้อหมูสด ขณะที่กลุ่มวัตถุดิบอาหารที่ต้องนำเข้า อาทิ นมผง เนย ชีส แป้งสาลี โกโก้ และเมล็ดกาแฟ แม้จะปรับตัวลดลงจากในช่วงต้นปี 2568 แต่ราคายังผันผวนในระดับสูง ทำให้กลุ่มร้านเครื่องดื่ม ร้านเบเกอรี่และอาหารตะวันตกจะเป็นกลุ่มได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก”
พร้อมกันนี้ สมาคมยังชี้ถึง 5 ปัจจัยด้านพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ผู้ประกอบการต้องเข้าใจ ได้แก่ ความแปลกใหม่, ประสบการณ์, คุณภาพ สุขภาพ และราคาที่สมเหตุสมผล เพราะความภักดีต่อแบรนด์ลดลงอย่างมาก ผู้บริโภคเปลี่ยนร้านง่ายตามกระแส ผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัวเร็ว รัดกุมด้านต้นทุน และสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ ทั้งการใช้สื่อดิจิทัลและการจับมือกับแพลตฟอร์มเดลิเวอรี เพื่อขยายรายได้และลดการพึ่งพายอดขายจากหน้าร้านเพียงช่องทางเดียว