
ความกลมกล่อมของกลิ่นชาผสานกับความนัวของนมและสีส้มที่เข้มข้นของเครื่องดื่มในแก้วนั้น ชวนให้ผู้ที่ได้ลิ้มลอง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา
เรากำลังพูดถึง “ชาไทย” เครื่องดื่มยอดนิยมที่ครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน และเมื่อไม่นานมานี้ ชาไทยยังได้ก้าวสู่เวทีโลก ด้วยการคว้าอันดับ 7 เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ที่อร่อยที่สุดในโลกประจำปี 2566 ตอกย้ำความเป็น "แรร์ไอเทม" ที่ใคร ๆ ก็อยากลิ้มลอง
แต่ภายใต้ความโดดเด่นของชาไทย ยังมีเรื่องราวความสำเร็จทางธุรกิจที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ “Karun (การัน)” ที่สร้างสรรค์ชาไทยคุณภาพเยี่ยม จนกลายเป็นแบรนด์โปรดของคอชาหลายๆ คน
รัส-ธัญญ์ณภัคช์ ศิริประภาเจริญ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ “การัน” (Karun) เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจของธุรกิจนี้ว่า Karun ถือกำเนิดขึ้นในช่วงวิกฤติโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ แต่เธอกลับมองเห็นโอกาสจาก "สูตรชาไทยของคุณแม่" ซึ่งเป็นสูตรลับที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบโฮมเมด และเป็นจุดแข็งที่สร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า
“เราใช้เวลากว่า 1 ปีเต็ม ในการศึกษาและเตรียมความพร้อมอย่างละเอียดก่อนเปิดตัวแบรนด์ในปี 2562 ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เพิ่มเติมด้านอาหาร, Food Safety, Branding หรือแม้กระทั่งความรู้เรื่องแบคทีเรีย เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของสินค้าเพราะเราอาจจะเป็นเนิร์ดอยู่แล้วด้วย เราจึงรู้สึกว่าถ้าเราไม่รู้อะไรจริง เราไม่กล้าทำ"
เมื่อก้าวเข้าสู่ตลาดชาไทยที่มีเจ้าตลาดแข็งแกร่งอย่าง "ชาตรามือ" ธัญญ์ณภัค เลือกที่จะไม่แข่งขันโดยตรง แต่กลับมุ่งเน้นการสร้าง "จุดยืนที่ชัดเจน" โดยสังเกตว่าร้านชาไทยส่วนใหญ่มักขายเครื่องดื่มหลากหลายประเภท หรือเป็นร้านแบบรถเข็น ในขณะที่คอชาไทยจำนวนมากกำลังมองหา "พื้นที่สำหรับคนรักชาไทยโดยเฉพาะ"
ด้วยวิสัยทัศน์นี้ ธัญญ์ณภัค จึงตัดสินใจสร้าง Karun ให้เป็นแบรนด์แรก ๆ ที่เน้นนำเสนอ "ชาไทยเฉพาะทาง" หรือ "Specialty Thai Tea" ดึงดูดกลุ่มลูกค้าหลักคือ Gen Y ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและช่วยให้แบรนด์เติบโตอย่างรวดเร็ว
"ในช่วงแรกท่ามกลางกระแสโควิด เราปั้นแบรนด์โดยขายผ่านทางออนไลน์ก่อน โชคดีที่ตำแหน่งที่เราอยู่เป็น F&B ลูกค้าจึงตัดสินใจซื้อง่าย ไม่ได้ใช้เงินก้อนใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่เราเริ่มช่วงนั้น เพราะลูกค้าอยู่บ้านก็ต้องการทางเลือกใหม่ๆ จึงเป็นโอกาสดีที่เราเป็นสินค้าใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้เลือก ทำให้ธุรกิจเกิดขึ้นได้" ธัญญ์ณภัค กล่าวเสริม
ธัญญ์ณภัคช์ ยอมรับว่าการสร้างฐานลูกค้าในช่วงแรกนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากตนเองไม่ได้มีพื้นฐานด้านธุรกิจโดยตรง และไม่ถนัดด้านการตลาด แต่สิ่งเดียวที่เธอมอบให้ลูกค้าได้คือ "ความจริงใจ" การนำเสนอสูตรชาไทยของคุณแม่ ที่ให้ความรู้สึกโฮมเมด จึงกลายเป็นจุดแข็งสำคัญที่ Karun หยิบยกมาสร้างสรรค์เป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ดูดี ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า รวมถึงการใส่ใจในงานบริการด้วยเช่นกัน
Karun ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากการทำธุรกิจในช่วงเศรษฐกิจผันผวน ธัญญ์ณภัคช์ ชี้ให้เห็นว่าการขายดีในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นอาจเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปลอดภัย และยากต่อการตัดสินใจว่าจะรักษากระแสเงินสดไว้ หรือจะขยายสาขาต่อ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ "ขายดีจนเจ๊ง" ที่มักเกิดขึ้นกับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม Karun จึงเลือกที่จะชะลอการเติบโตและการผลิต เพื่อบริหารต้นทุนให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้
นอกจากนี้ Karun ยังใช้กลยุทธ์ "กระจายความเสี่ยง" ด้วยการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ แม้จะเชี่ยวชาญด้านชาไทย แต่การขยายแบรนด์ออกไปนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อไม่ให้ติดอยู่กับแนวทางเดิม ๆ ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
สิ่งที่ ธัญญ์ณภัคช์ ให้ความสำคัญคือ "การใช้เงินอย่างชาญฉลาด" และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมถึงการพัฒนาคุณภาพของตัวเองอย่างต่อเนื่อง และการเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
“เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโอกาส ซึ่งยึดมั่นตัวตนของแบรนด์ที่ชัดเจน และ Mission, Vision ของบริษัท ที่นอกจากจะทำให้ลูกค้าพอใจแล้วนั้น พนักงานก็ถือเป็นส่วนสำคัญเช่นกัน จึงทำให้สำคัญกับเรื่องของ “หลังบ้าน” เพราะการผลิตทุกอย่างมาจากครัวกลาง ดังนั้นคนหรือพนักงาน ค่อนข้างเป็นหัวใจสำคัญของบริษัท” ธัญญ์ณภัคช์ กล่าว
หากต้องเลือกเพียงหนึ่งสิ่งเพื่อความมั่นคงทางธุรกิจ ธัญญ์ณภัคช์ เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "จุดยืนของแบรนด์" เพราะจุดยืนไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าองค์กรยืนอยู่ตรงไหน แต่ยังเป็นตัวแปรสำคัญในการสื่อสารกับคนภายในองค์กรและภายนอกองค์กรให้เข้าใจตรงกัน เมื่อคนในองค์กรแข็งแกร่งและมีภาพเดียวกัน ทุกคนก็จะตั้งใจส่งสารไปถึงลูกค้าว่า Karun คือแบรนด์ชาไทย ทุกคนมีเป้าหมายและทิศทางเดียวกัน ลูกค้าก็จะรับรู้ได้ถึงจุดยืนที่ชัดเจน
สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ธัญญ์ณภัคช์ ฝากข้อคิดว่า เวลาที่เราชนะเราจะรู้สึก Celebrate ก่อนคนอื่นเสมอ และเวลาที่เราแพ้ เราต้องคว้านท้องตัวเองก่อนคนอื่นเสมอ ดังนั้นหากต้องการจะยืนหยัดต่อไปได้คือ จุดแรกคือเราต้องรู้จุดยืนของธุรกิจต้องชัดเจน คุณอาจนำแนวคิดของผู้อื่นมาปรับใช้ได้ แต่อย่าพยายามเป็นคนอื่น และอย่าลืมที่จะค้นหาช่องว่างในตลาด ซึ่งมักจะมีช่องว่างเสมอสำหรับธุรกิจที่แตกต่างพยายามมีแผนรองรับตลอดเวลา อย่าประมาทเมื่อธุรกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะขึ้นได้ก็ลงได้ ควรมีแผน A, B, C, D เสมอ เพื่อรับมือกับความผันผวน และก้าวข้ามช่วงเวลาสั่นคลอนไปได้โดยดี
อย่างเช่น Karun ในปี 2567 ทำยอดขายได้ถึง 160 ล้านบาท โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นคนไทยถึง 90% และแม้ในปี 2568 จะตั้งเป้าไว้สูงถึง 240 ล้านบาท แต่ก็มีแผนขยายตลาดสู่ต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน จะมีการตัดสินใจชะลอแผนดังกล่าวก็ตาม แต่ก็หันมาเน้นการรักษาฐานลูกค้าในประเทศเป็นหลัก
"สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดตอนนี้ คือเราต้องเอาใจ Domestic consumption เพราะว่าลูกค้าต่างชาติลดน้อยลงพอสมควร ทำให้กลยุทธ์ในช่วงนี้คือการออกเมนูใหม่ๆ และทำ Seasonal Menu ให้ถี่ขึ้น เพื่อสร้างความหลากหลายและรักษาฐานลูกค้าให้อยู่กับเราอย่างเหนียวแน่นที่สุด" ธัญญ์ณภัคช์ กล่าวทิ้งท้าย
เรื่องราวของ “การัน” (Karun) สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ที่เฉียบคม และความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย ที่สามารถเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส และสร้างสรรค์ธุรกิจจากความรักและความเข้าใจในสิ่งที่ทำ จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดชาไทย และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรายย่อยได้เป็นอย่างดี
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney