ทำไมคนทำงานยุคนี้ ถึงยังอยู่กับองค์กร แต่หัวใจกลับจากไปแล้ว?ในวันที่ AI เริ่มแย่งงาน และความเบื่อหน่ายกัดกินแรงใจ ปรากฏการณ์ “ลาออกในใจ” กำลังกลายเป็นวิกฤติใหม่ของตลาดแรงงาน
ในยุคที่ AI เข้ามาแทนที่คนทำงานในหลายสายอาชีพ คนส่วนหนึ่งถูก “ระบบ” คัดออกโดยไม่รู้ตัว แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีอีกกลุ่มที่ อยู่ในระบบ แต่ใจไม่อยู่แล้ว
ข้อมูลจาก Talentvis บริษัทจัดหางานชื่อดังของสิงคโปร์ ชี้ชัดว่า ปัจจุบันมีพนักงานทั่วโลก เพียง 21% เท่านั้น ที่รู้สึก “มีส่วนร่วมกับงานอย่างแท้จริง”
ขณะที่อีก 59% กำลัง Quiet Quitting หรือ ทำงานแบบ “เงียบ ๆ อย่างเบื่อหน่าย” ว่าง่ายๆ ก็คือ ไม่ลาออกแต่ก็ไม่ทุ่ม ไม่อิน และไม่ไปไหน
คำว่า Quiet quitting อาจฟังดูใหม่ แต่จริง ๆ แล้วมันคือเสียงสะท้อนของภาวะหมดไฟทางอารมณ์จากการทำงาน การไม่มีเป้าหมาย และการรู้สึกว่า "เราก็แค่ฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ" ที่ไม่ถูกมองเห็น
เมื่อเทียบกับยุคก่อนที่คนรุ่น Baby Boomer มักจะ “อยู่กับองค์กรเดียวจนเกษียณ” ได้สะท้อนถึง โลกการทำงานในวันนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิง
ในรายงานยังระบุว่า กลุ่มคน Millennials และ Gen Z ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งคิดเป็น กว่า 50% ของแรงงานทั้งหมด กำลังแสวงหา ความยืดหยุ่น, โอกาสเติบโต, และวัฒนธรรมองค์กรที่จริงใจ มากกว่าตำแหน่งงานหรือเงินเดือนเพียงอย่างเดียว
Talentvis ยังเผยว่า 43% ของพนักงานกำลังพิจารณาลาออก เพราะเบื่อวัฒนธรรมองค์กรและไม่เห็นทางเติบโต ในขณะเดียวกัน 69% ของผู้สมัครงาน ระบุว่า จะไม่สมัครงานกับบริษัทที่มีชื่อเสียงแย่ในฐานะ "นายจ้าง"
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านที่ลึกและจริงจังในโลกการทำงานไม่ใช่แค่ “การจ้าง” อีกต่อไป แต่คือ “การรักษาคนไว้” และ “การทำให้เขารู้สึกว่ามีคุณค่า”
ซึ่งสอดคล้องกับหลายแหล่งข้อมูล อย่างรายงานของ Microsoft, McKinsey, และ LinkedIn ก็ระบุว่า วัฒนธรรมองค์กรแย่, ผู้จัดการไม่มีภาวะผู้นำ, และการเติบโตที่ชะงักงัน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนลาออก
อย่างไรก็ตาม หลายคนมองว่า AI คือ ภัยคุกคามที่กำลังแย่งงานคน แต่ในมุมกลับกัน พบว่า AI กำลังเปิดโปงปัญหาเชิงโครงสร้างขององค์กร มากกว่าเดิมอีก
ท้ายที่สุด บริษัทมากมายยังคิดว่า การให้โบนัสหรือจัด Team Building ปีละครั้งจะพอแก้ปัญหา แต่ลึก ๆ แล้ว สิ่งที่คนทำงานต้องการคือ
จะเห็นได้ว่า วันนี้ “การรักษาคนเก่งไว้” ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินเดือนแต่คือการต่อสู้เพื่อให้ "หัวใจ" ของคนทำงานยังอยู่กับเราและถ้าองค์กรยังไม่ตระหนักถึงสิ่งนี้คนที่ยังอยู่ อาจจะ “อยู่แค่ตัว” และรอเวลา “ลาออกในใจ” ไปทุกวัน
อย่างไรก็ดี ผลกระทบที่ต้องติดตาม เมื่อพนักงาน“อยู่แต่ตัว” แสดงออกผ่านผลงาน ที่มักทำงานแค่ขั้นต่ำ เพื่อให้อยู่รอดในระบบ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่เสนอไอเดียใหม่ และไม่อยากพัฒนาอะไรเพิ่มเติม สร้างผลิตภาพ (Productivity)ต่ำ เกิดค่าเสียโอกาสจากการตัดสินใจช้า ความผิดพลาดจากงานที่ทำแบบขอไปที การลากิจบ่อย ลาป่วยบ่อย เพราะไม่มีแรงจูงใจตื่นไปทำงาน ล้วนทำให้เกิดผลกระทบในแง่ตัวเลขของบริษัทนั้นๆ
ที่มา : Talentvis , OKMD
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney