
กว่าจะมาเป็นหลากหลายแบรนด์ภายใต้บริษัท "รวยไม่หยุด" อย่างทุกวันนี้ เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เกศ-ชุติมา เปรื่องเมธางกูร ประธานบริหาร บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด เล่าว่า จุดเริ่มต้นของเธอกับธุรกิจไม่ได้อยู่ในวงการอาหารโดยตรง แม้จะจบมาด้านอาหาร แต่เธอเริ่มต้นจากการทำงานบริษัทที่พัฒนาศักยภาพองค์กร และทรัพยากรบุคคลอยู่ประมาณ 2 ปี
ก่อนจะผันตัวมาลองทำธุรกิจส่วนตัวหลากหลายรูปแบบ ทั้งเคยเปิดร้านกาแฟ, ร้านทำเล็บ, สปา, ร้านแวกซ์, ทีมมวย, ช่องทีวี ไปจนถึงร้านตัดเสื้อ แต่จาก 8 ธุรกิจที่ลองทำ มีถึง 6 ธุรกิจที่ล้มเหลว บทเรียนสำคัญที่ทำให้ ชุติมา ได้เรียนรู้คือ การลงทุนตามกระแสโดยไม่มีความรู้หรือแพชชั่นที่แท้จริง มักนำไปสู่ความล้มเหลวเสมอ
จนกระทั่งนำสู่ธุรกิจที่ 9 นั่นคือ แบรนด์ Nice Two Meat U ที่เป็นการซื้อแฟรนไชส์ จากเกาหลีมาเปิดในไทย แล้วปรับรสชาติให้ถูกปากคนไทย นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอหันมาโฟกัสที่ธุรกิจอาหารอย่างจริงจัง ด้วยความที่เธอมีแพชชั่นในการทำอาหารไทยมาโดยตลอด
รวมถึงชื่นชอบการกินและปรุงก๋วยเตี๋ยวมาตั้งแต่เด็กจนได้ชื่อเล่นว่า "เกศเตี๋ยว" อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก เธอตัดสินใจมุ่งเน้นไปที่อาหารเกาหลีก่อนตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อสร้างการจดจำในตลาด เนื่องจากร้านอาหารเกาหลีในไทยยังมีการแข่งขันไม่สูง รวยไม่หยุดจึงเป็นเจ้าแรก ๆ เลยก็ว่าได้ แต่ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอต้องปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญ เพื่อรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน
ชุติมา เปรื่องเมธางกูร ประธานบริหาร บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด กล่าวว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 จะเห็นว่าธุรกิจอาหารในประเทศไทยมีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก (Red Ocean) เต็มไปด้วยผู้เล่นทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่เข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดร้านอาหารที่มีมูลค่าร่วม 7 แสนล้านบาท จนเกิดภาวะซัพพลายมากกว่าดีมานด์
ขณะที่เทรนด์ผู้บริโภคยุคนี้เปลี่ยนแปลงไว ต้องการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ บวกกับกำลังซื้อที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่แค่กลุ่มแมสเท่านั้น แต่กลุ่มบนก็เริ่มประหยัดและระมัดระวังการใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือย หรือของใช้ราคาแพงที่ไม่จำเป็นมากขึ้น
ในปี 68 รวยไม่หยุด กรุ๊ป จึงตั้งใจเดินหน้าเสิร์ฟประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ลูกค้าได้มาสัมผัส กับการเปิดตัว 8 แบรนด์ใหม่ ซึ่งเป็นเวลากว่า 2 ปีที่เครือไม่ได้เปิดแบรนด์ใหม่เลย กระทั่ง เมื่อปลายปีที่ผ่านมา หลังจากศึกษาและพัฒนาคอนเซ็ปต์จนมั่นใจ จึงได้เปิดตัวแบรนด์ก๋วยเตี๋ยวเรือ “เกศเตี๋ยว” ในราคาเริ่มต้นเพียง 9 บาท ซึ่งถือเป็นแบรนด์แรกในเครือที่แตกไลน์มาสู่ร้านอาหารไทย เน้นเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม จนสร้างปรากฏการณ์ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือที่คิวแน่นตลอดทั้งวันมาตลอดระยะเวลากว่า 5 เดือนที่เปิดให้บริการ
“ธุรกิจร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นสิ่งที่อยู่ในใจมาตลอด แต่เพิ่งมีโอกาสได้มาทำจริงจัง เพราะสมัยเด็ก เราก็เป็นมือปรุงก๋วยเตี๋ยวของเพื่อน จนได้ฉายาเกศเตี๋ยว บวกกับชอบกินอาหารรสจัด ชอบทำอาหารไทย ดังนั้นพอเห็นช่องว่างในตลาด เลยตัดสินใจปลุกปั้นแบรนด์เกศเตี๋ยว ก๋วยเตี๋ยวเรือที่กินได้ทุกวัน อร่อยแบบไม่ต้องปรุง โดยเอาฉายาที่เพื่อนเรียกมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์”
ส่วนทำเลที่เลือกปักหมุดที่สยามสแควร์ซอย 3 เนื่องจากเป็นโลเคชั่นที่คุ้นเคย หลังจากเปิดก็ได้กระแสตอบรับถล่มทลายจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ ทำรายได้กว่า 30 ล้านบาท ถึงจุดคุ้มทุนภายใน 2 เดือนแรก โดยในปี 68 มีแผนจะขยายสาขาเข้าไปในศูนย์การค้าเพิ่มเติม สาขาสองกำลังจะเปิดให้บริการที่ไอคอน สยาม
พร้อมกันนี้ ยังจะเปิดตัวแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มใหม่อีก 8 แบรนด์ ซึ่งมีทั้งแบรนด์ใหม่ที่ปั้นเอง แบรนด์ที่ซื้อแฟรนไชส์มาจากเกาหลี รวมถึงแบรนด์ใหม่ที่ร่วมกันพัฒนากับพาร์ทเนอร์ชาวเกาหลี โดยจะทยอยเปิดตัวในไตรมาส 3 นี้ทั้งหมด
จำนวน 10 แบรนด์ ภายใต้เครือรวยไม่หยุดกรุ๊ปที่มีทั้งหมด 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด, บริษัท รวยปังปัง จำกัด และ บริษัท รวยสบายสบาย จำกัด
ส่วนรายได้รวมปี 2567 ของเครือรวยไม่หยุด แบ่งออกเป็น รวยไม่หยุด 490,507,334.07 บาท, รวยสบายสบาย 111,624,350.20 บาท และ รวยปังปัง168,170,040.05 บาท รวมแล้วประมาณ 770,301,724.32 บาท
สำหรับ 8 แบรนด์ใหม่ ของเครือรวยไม่หยุด ภายใต้งบลงทุน 200 ล้านบาท มี Premium Korean BBQ 2 แบรนด์ คือ Cheong Dam ที่จะเปิดใน Siam Paragon และ Hannam ที่จะเปิดใน Central Dusit
ส่วน 6 แบรนด์ที่เหลือคือ Standard Bun ร้านขนมปังเกาหลี ที่จะเปิดใน Siam Square Block, ร้าน เกศเตี๋ยวป๊อก ป๊อก & ต้มยำ ที่จะเปิดใน Siam square 10, ข้าวแกง & ปลาทู ที่ Siam square 10, Chago คาเฟ่ร้านชา จะเปิดที่ Siam Square One, Daelim Korean Noodle ที่ Siam Square และร้าน Sushi & Izakaya ที่ Siam Square Block
ชุติมา กล่าวต่อไปว่า ทั้ง 8 แบรนด์ใหม่ เกือบทั้งหมดจะปักหมุดในย่านสยามสแควร์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญในการเปิดตัวทุกแบรนด์ในพอร์ตฯ เพราะเป็นย่านที่คุ้นเคย รู้อินไซท์ของลูกค้าเป็นอย่างดี บวกกับตั้งใจที่จะเติบโตไปกับย่านสยามสแควร์ ส่วนเหตุผลที่เลือกใช้โมเดลธุรกิจแบบปั้นแบรนด์เอง และซื้อแฟรนไชส์ เพราะมองว่า แต่ละโมเดลมีจุดแข็งต่างกัน ในขณะที่การปั้นแบรนด์เอง อาจจะสามารถทำทุกอย่างได้ดั่งใจ แต่ก็ต้องใช้เวลา ขณะที่การซื้อแฟรนไชส์เหมือนเป็นทางลัด สามารถนำระบบที่วางไว้มาต่อยอดได้เลย สำหรับสไตล์ร้านอาหารที่เราอาจไม่ได้ถนัดมากนัก
“แบรนด์ทั้งหมดจะทยอยเปิดในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในโลเคชั่นละแวกเดียวกัน เราก็ยังมั่นใจและไม่กังวลว่าแต่ละแบรนด์จะแย่งลูกค้ากันเอง หรือต่อให้สุดท้ายจะเป็นเช่นนั้นจริง ก็เป็นเรื่องปกติของธุรกิจร้านอาหารที่เป็น Red Ocean ต่อให้แบรนด์ของเราไม่กินส่วนแบ่งกันเอง คนอื่นก็กินส่วนแบ่งอยู่ดี”
อีกทั้ง ชุติมา ยังเน้นย้ำว่า ในสมรภูมิอาหารไม่มีใครเป็นเจ้าตลาด เพราะแต่ละหมวดหมู่ของอาหารมีหลาย Positioning
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ "รวยไม่หยุด" ได้วางกลยุทธ์ ไว้ดังนี้
1.ปรับตัวให้ทันและสร้างความแตกต่าง เพราะ "ไม่มีความแน่นอนอะไรเกิดขึ้นเลย" ในธุรกิจอาหารในยุคปัจจุบัน การปรับตัวให้ทันและสร้างความแตกต่างคือสิ่งสำคัญที่สุดในการอยู่รอดและเติบโต
2.ลดการลงทุนและเน้นความคุ้มค่า แทนที่จะลงทุนกับการซื้อแฟรนไชส์แบรนด์ต่างประเทศที่มีชื่อเสียงเข้ามา รวยไม่หยุดจะเน้นการสร้างแบรนด์ใหม่ของตัวเองที่จับกลุ่มตลาดแมสมากขึ้น จากเดิมที่จับกลุ่มกำลังซื้อระดับกลางถึงบน โดยควบคุมต้นทุนให้ต่ำที่สุด แต่ยังคงคุณภาพ รสชาติ และการบริการในระดับสูงสุด
3.เน้นอาหารที่ทานง่าย คุ้มค่า และซ้ำได้บ่อย เมนูอาหารจะต้องตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มค่าและสามารถกลับมาทานซ้ำได้บ่อยๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารจานเดียวที่เข้าถึงง่าย
4.เพิ่มพอร์ตโฟลิโอแบรนด์และหยุดการขยายสาขาเดิม กลยุทธ์คือการมีแบรนด์ที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค แทนที่จะเน้นการขยายสาขาของแบรนด์เดิมๆ ที่มีอยู่
5.แข่งกับตัวเอง เพราะเชื่อว่าการมุ่งเน้นการพัฒนาตัวเองและสร้างความแตกต่างให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องสำคัญกว่าการพยายามเอาชนะคู่แข่ง เพราะคู่แข่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การปรับตัวและพัฒนาตัวเองคือสิ่งที่ควบคุมได้
สำหรับภาพอนาคตของ "รวยไม่หยุด" จะไม่ยึดติดกับแผนที่ตายตัวเป็นรายปีหรือรายเดือนอีกต่อไป แต่พร้อมที่จะ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์แบบ "รายวัน" เพื่อตอบสนองต่อเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดังนั้นการเน้นอาหารที่ทานง่าย เข้าถึงง่าย และคุ้มค่า จะยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการฝ่าฟันความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ยังคาดเดาไม่ได้ของ “รวยไม่หยุด”
เพราะตราบใดที่ยังเห็นช่องว่างในตลาด รวยไม่หยุด กรุ๊ป ก็ยังพร้อมเดินหน้าเติมแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ เข้ามาในพอร์ตฯ นอกจากนี้ ในอนาคต รวยไม่หยุด กรุ๊ป ยังมีแผนที่จะต่อยอดธุรกิจ ด้วยการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยวเรือแบรนด์ “เกศเตี๋ยว” เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ เตรียมดันสู่ตลาดจีนและยุโรปภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ทั้งนี้ ตั้งเป้าว่า ด้วยกลยุทธ์การขยายแบรนด์ใหม่ในปีนี้ จะดันรายได้ของเครือให้โตขึ้นราว 20%
อ่านข่าวการตลาด และเทรนด์ กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney