M-150 ฝาเหลือง ลิมิเต็ด เอดิชัน ราคา 10 บาท ยังเป็นสินค้าชูโรงตัวสำคัญ หนุนให้โอสถสภาครองส่วนแบ่งการตลาด 45% จากเดิม 44.5% ในเดือนธันวาคม 2567 ในสนามตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมูลค่า 22,500 ล้านบาท รักษาตำแหน่งการเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง
วรติพร ราษฎร์เจริญ Group Chief Financial Officer บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โอสถสภากำลังทำธุรกิจแบบแซนวิชด์ คือ เมื่อโลกเปลี่ยนไป ลูกค้ามีหลายกลุ่มมากขึ้น เราก็ต้องออกสินค้ารองรับลูกค้าทุกกลุ่ม อย่างการมี M-150 ทั้งในราคาตั้งแต่ 10 บาท 12 บาท ไปจนถึง 20 บาท เพื่อขยายฐานผู้บริโภคและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกช่องทาง
บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2568 ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.7% จากปีก่อน ซึ่งคาดว่าเกิดจาก 2 ปัจจัยดังนี้ คือ การควบคุมวัตถุดิบและสาธารณูปโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงการแข็งค่าของเงินบาท และกระบวนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม พบว่า รายได้จากการขายในปีก่อน (YoY) ลดลง 6% ซึ่งเกิดจากการจัดสรรสต็อกสินค้าใหม่ เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย และจากพฤติกรรมการบริโภคของคนทั่วไปที่ยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
ในไตรมาสสองและสามของปี 2568 นี้ ทางโอสถสภายังคงบุกตลาดเครื่องดื่มชูกำลังอย่างต่อเนื่อง ผ่านแบรนด์ Lipo ด้วยการใช้กลยุทธ์ราคาที่ครอบคลุม และตั้งเป้าเพิ่มไลน์การผลิต คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสสามของปีนี้ รวมถึงการออก Product Innovation เพื่อเพิ่มสีสันให้กับตัวสินค้า
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญของทางโอสถสภา คือ การสื่อสารทางการตลาด ที่มุ่งเน้นสร้างการรับรู้ของแบรนด์ที่แข็งแกร่งในแต่ละภูมิภาค เช่น แบรนด์โสมอินซัมที่เติบโตโดดเด่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และแบรนด์ฉลามที่มีกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมากในภาคเหนือและภาคใต้ รวมถึงการออกแคมเปญทางการตลาด อย่างการใช้พรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียง การจัดกิจกรรมทางการตลาด เช่น "ปลดหนี้ทุกชั่วโมง" ที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้แก่แบรนด์และผู้บริโภคให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
โดยในกลุ่มธุรกิจหลัก นอกจากเครื่องดื่มชูกำลัง พบว่า ตลาดเครื่องดื่ม Functional Drinks มีการเติบโตขึ้น 1.6% โดยโอสถสภายังครองอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งการตลาด 46.6% จากการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ อย่าง Peptine และ C-vitt สอดรับกับเทรนด์รักสุขภาพในปัจจุบัน
ในฝั่งตลาดต่างประเทศ พบว่า ยังคงมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในระดับเลข 2 หลัก และยังคงมุ่งเน้นเจาะ 4 ตลาดเพื่อนบ้าน อย่าง เมียนมา ลาว เวียดนาม และอินโดนีเซีย
กลุ่มธุรกิจของใช้ส่วนตัว (Personal care) อย่าง Babi Mild พบว่า รายได้ในประเทศเติบโต 9.6% เมื่อเทียบจากปี 2567 จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้ใหญ่ และการกระตุ้นยอดขายด้วยการร่วมมือกับ Butterbear ส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตในตลาดใหญ่อย่างจีน นอกจากนี้ยังมีการออกผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายสำหรับผู้ชาย อย่าง แบรนด์เอ็กซิท เพื่อสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน
ด้านสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความน่ากังวล จากการปรับลงของ GDP ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 1.8% ทางโอสถสภามองว่า ภาคเอกชนอาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมถึงสินค้าของโอสถสภาเป็นสินค้าพื้นฐานในชีวิตประจำวัน แต่อาจมีผลกระทบต่อการรับรู้ของผู้บริโภคที่เกิดความกังวลในการใช้จ่ายสินค้า
เป้าหมายยอดขายในปี 2568 จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 5% คาดว่าจะเป็นตัวเลขที่ต้องติดตามต่อไป ด้วยสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจ แต่จากไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา สามารถสะท้อนความสำเร็จของโอสถสภาในการเป็นผู้นำตลาดอย่างแท้จริง
อ่านข่าวการตลาด และเทรนด์ กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney