
ในยุคที่สินค้าเกษตรไม่อาจยืนอยู่ได้เพียงแค่คุณภาพวัตถุดิบและความเป็นของดีประจำถิ่นอีกต่อไป การสร้างแบรนด์ที่เข้มแข็งและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ทันสมัย จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพสินค้าเกษตรไทยสู่เวทีระดับโลกอย่างแท้จริง
“สารัช มาร์เก็ตติ้ง” ผู้นำด้านมะขามแปรรูปรายแรกจากเพชรบูรณ์ จึงเดินหน้ากลยุทธ์รีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี เพื่อยกระดับมะขามไทย จากรากเหง้าท้องถิ่น สู่การเป็นแบรนด์เกษตรระดับโลกอย่างมั่นคง
แม้จะเป็นรายแรกที่ได้รับการรับรอง GI (Geographical Indications) ที่บ่งบอกว่าสินค้าที่เกิดจากแหล่งนั้นมีคุณภาพ ชื่อเสียง หรือคุณลักษณะพิเศษที่มาจากแหล่งกำเนิดนั้นโดยตรงสำหรับมะขามเพชรบูรณ์
แต่ “สารัช” ไม่หยุดแค่การเป็น “เจ้าของแหล่ง” หากมุ่งสู่การเป็น “เจ้าของตลาด” ผ่านการวางยุทธศาสตร์รีแบรนด์เต็มรูปแบบ ด้วยแนวคิด “สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชัน” ตอบโจทย์ยุคที่ผู้บริโภคไม่ได้แค่ซื้อรสชาติ แต่ซื้อความรู้สึก ความสนุก และคุณค่าของแบรนด์
.GI อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีแบรนด์ที่คนจำได้
การมี GI อย่างเดียวไม่เพียงพอ หากต้องมีแบรนด์ที่ฝังอยู่ในใจผู้บริโภค พร้อมบอกเล่าเรื่องราว สะท้อนอัตลักษณ์ และสร้างคุณค่าเกินกว่าตัวสินค้า
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2520 “ครูหมู” หรือ “สุภาลักษณ์ กมลธรไท” ผู้ก่อตั้ง ได้เริ่มต้นแปรรูปมะขามหวานจากสวนในอำเภอหล่มเก่าเพื่อขายในตลาดท้องถิ่น ความใส่ใจในรสชาติและความสะอาด ทำให้มะขามสารัชเริ่มเป็นที่รู้จักในตลาดมหานาค ท่าพระจันทร์ และตามงานวัดในกรุงเทพฯ
ต่อมาในปี 2545 บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ และสามารถขยายธุรกิจเข้าสู่ 7-Eleven ได้ในปี 2547 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ยอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด และแบรนด์เริ่มเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดอย่างเต็มรูปแบบ
“ครูหมู” ระบุว่า การได้รับ GI จากภาครัฐ ถือเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่ง ซึ่งในฐานะผู้ประกอบการเราต้องคิดนับสองต่อไปด้วยตนเอง และการได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคลัสเตอร์มะขามของเพชรบูรณ์ ได้นำองค์ความรู้มีอยู่พร้อมประสานหน่วยงานอื่นๆ เพื่อยกระดับผลิตผลมะขามของเพชรบูรณ์จนมีชื่อเสียง
ขณะเดียวกัน ตลาดมะขามในเพชรบูรณ์กำลังเผชิญแรงซื้อจากทุนจีนที่เข้ามากวาดซื้อผลผลิตอย่างจริงจังเท่าไหร่ก็ซื้อหมด หลังจากกวาดซื้อจนหมดจากประเทศลาวแล้ว สถานการณ์นี้แม้จะดูดีในเชิงรายได้ระยะสั้น แต่ในระยะยาวกลับเสี่ยงต่อการสูญเสียอำนาจการต่อรองของเกษตรกรในพื้นที่
“การยกระดับมะขามให้เป็นสินค้าเกษตรเชิงคุณค่า จึงไม่ใช่แค่การแปรรูปให้ดูดีขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถต่อรองได้มากขึ้น มีราคาที่เป็นธรรม และยืนอยู่ได้ด้วยตนเองในระบบตลาดที่แข่งขันสูง”
“ครูหมู” ย้ำด้วยว่า หากสามารถสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงได้จริง จะไม่เพียงแค่ยกระดับราคาให้สูงขึ้นเท่านั้น แต่จะเปิดโอกาสให้มะขามเพชรบูรณ์ก้าวไปไกลกว่าการเป็นสินค้าท้องถิ่นสู่การเป็น สินค้าสัญลักษณ์ของชาติ ที่มีคุณค่าในตลาดโลกจากสวนเล็ก ๆ สู่ชั้นวางของซุปเปอร์มาร์เก็ตในต่างประเทศได้ในที่สุด
ด้านนายสารัช กมลธรไท กรรมการผู้จัดการ บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้สารัชแตกต่าง คือการใช้ ข้อมูลเชิงพฤติกรรมผู้บริโภค มาวิเคราะห์การพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม “มะขามจี๊ดจ๊าด” ที่มีมากกว่า 30 รสชาติในปัจจุบัน แนวคิดคือการไม่หยุดที่ความคิดริเริ่ม (Originality) แต่ต้องทดลองและสร้างสรรค์ เพื่อสร้าง Moment of Delight หรือช่วงเวลาที่ผู้บริโภครู้สึกพึงพอใจ ให้ผู้บริโภคได้เปิดประสบการณ์ใหม่อยู่เสมอ เช่น มะขามเคลือบช็อกโกแลต ซอสมะขาม มะขามแผ่นพกพา และขนมจีนมะขาม 7 สี ฯลฯ
.มุ่งเติบโตแบบยั่งยืนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ
หนึ่งในเสาหลักที่สารัชยึดมั่นมาโดยตลอด คือการเติบโตไปพร้อมกับชุมชน ทำงานร่วมกับเกษตรกรในพื้นที่เพชรบูรณ์นับหมื่นราย สนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ ส่งเสริมการทำ GAP และการยื่น GI ให้ครอบคลุมทั้งพื้นที่
โดยเฉพาะโครงการมะขามต้นเตี้ย ซึ่งได้รับความนิยมสูงนับหมื่นไร่ ช่วยให้เกษตรกรดูแลสวนง่ายขึ้น เก็บเกี่ยวเร็วขึ้น และเพิ่มผลผลิตได้หลายเท่าตัว ในขณะที่บริษัทก็ได้รับวัตถุดิบคุณภาพดี สม่ำเสมอ ตรงตามมาตรฐานการผลิตระดับสากล
ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานมากกว่า 100 คนในพื้นที่เพชรบูรณ์ และสร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชนตลอดทั้งปี
ไม่เพียงเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อเกษตร การแปรรูปการตลาด อย่างครบวงจร
แนวคิด เศรษฐกิจฐานรากเชิงรุก ของสารัช สอดคล้องกับแนวทาง BCG Model ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ผสมผสานความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ภาครัฐกำลังผลักดันเพื่อสนับสนุนการรีแบรนด์ บริษัทเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ผ่านแคมเปญ “สารัช ยืนหนึ่งเรื่องมะขาม” พร้อมใช้คุณครูหมู–ผู้ก่อตั้งแบรนด์ เป็นพรีเซนเตอร์สื่อสารความจริงใจ ความดั้งเดิม และความเชื่อมั่นที่สั่งสมมานานกว่า 5 ทศวรรษ
สินค้าของสารัชมีวางจำหน่ายครบทุกช่องทางทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ โดยมีสัดส่วนรายได้ปัจจุบัน 80% จากตลาดในประเทศ 20% จากตลาดส่งออก 10% จากธุรกิจ OEM ที่จะผลิตสินค้าหรือตามสั่งจากลูกค้าและแบรนด์ลูกอื่นๆ
พร้อมกับวางเป้าเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 50% ของรายได้ภายในปี 2572 โดยเน้นเจาะตลาดศักยภาพสูง ได้แก่ ออสเตรเลีย สหรัฐฯ เวียดนาม สิงคโปร์ และสหภาพยุโรป พร้อมขยายบริการ OEM อย่างเป็นระบบ เพื่อรับผลิตให้แบรนด์นานาชาติที่ต้องการสินค้าคุณภาพพรีเมียมจากแหล่ง GI
ปัจจุบัน สารัชตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 200 ล้านบาท และเติบโตแตะ 500 ล้านบาทภายในปี 2572 พร้อมเดินหน้าแผนขยายกำลังการผลิตสู่ 3,000 ตันต่อปี ควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานโรงงานให้เป็นไปตามเกณฑ์สากล เช่น BRC, GHPs และ ISO เพื่อรองรับการส่งออกอย่างยั่งยืน