โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลหลักของเครือพญาไท-เปาโล ภายใต้กลุ่ม BDMS ซึ่งให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชนมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 50 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่อาศัยอยู่ในเขตลาดพร้าว, โชคชัย 4, วังหิน และรัชดา ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนหนาแน่นที่มีประชากรรวมกว่า 400,000 คน
โดยล่าสุดในปี 2565 ได้เปิดอาคารใหม่ (อาคารที่ 5) เพื่อรองรับการให้บริการผู้ป่วยประกันสุขภาพทั้งจากองค์กรและระบบประกันสังคม ด้วยแนวคิด “รักษาอย่างเข้าถึง ดูแลอย่างเข้าใจ” ที่สะท้อนถึงการดูแลแบบองค์รวม และให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ป่วย อย่างแท้จริง
พร้อมระบบอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ใช้สิทธิประกันสังคมให้สามารถเข้ารับบริการโดยไม่ต้องสำรองจ่าย และมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาเรื่องสิทธิ์อย่างครบวงจรตลอด 24 ชั่วโมง สะท้อนถึงการให้บริการแบบ Empathic Care หรือการดูแลด้วยหัวใจที่เข้าใจและใส่ใจในทุกช่วงเวลาของผู้ป่วย
นพ.นพรัตน์ โง้วจุงดี ผู้อำนวยการ รพ.เปาโล โชคชัย 4 กล่าวว่า โรงพยาบาลได้มีการนำแนวคิด Value-Based Healthcare มาใช้ในการออกแบบระบบบริการ ตั้งแต่แผนการรักษา รวมถึงบริการต่างๆ ที่เฉพาะเจาะจง ไปจนถึงการวาง Patient Journey ตอบสนองกับวิถีชีวิตและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อยกระดับประสบการณ์การรักษา ตั้งแต่ก้าวแรกที่ผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการ ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยและการบริการทางการแพทย์ โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยนอกประมาณ 60% ผู้ป่วยในอยู่ที่ 40%
“ในฐานะโรงพยาบาลเอกชน เราอยากเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับระบบสาธารณสุขไทย ให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง เราเชื่อว่าผู้ป่วยทุกคนไม่ว่าสิทธิ์ใด ต่างมีคุณค่าเท่าเทียมกัน และการพัฒนาบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มผู้ประกันตนอย่างจริงจัง คือการเติมเต็มพันธกิจของเราในการเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าถึงได้ใส่ใจ และยั่งยืน อย่างแท้จริง ภายใต้จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีเพียงพอ โดยปัจจุบันมีแพทย์ประจำ จำนวน 40 ราย และพาร์ทไทม์กว่า 100 ราย และปัจจุบันมีแพทย์ทั้งหมด 819 ราย"
ทั้งนี้ รพ.เปาโล โชคชัย 4 มีขีดความสามารถในการรองรับการให้บริการผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมได้ถึง 200,000 คน แต่มีผู้ประกันตนในพื้นที่เข้ามาใช้บริการเพียง 120,000 สิทธิ์ต่อปี เนื่องจากในปัจจุบันมีโรงพยาบาลเกิดใหม่จำนวนมาก ทำให้ผู้ประกันตนที่ใช้บริการของโรงพยาบาลลดน้อยลง ประกอบกับมีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์เงื่อนไขประกันสุขภาพใหม่ หรือที่เรียกว่า Co-payment ทำให้ จำนวนคนไข้อาจจะมีถดถอยลงบ้าง แต่ยังไม่มากนัก ซึ่งคาดว่าอาจจะเห็นภาพชัดในปี 2569
ยกตัวอย่างเช่น การขอใช้ห้องเดี่ยวตรงนี้จะต้องมีการออกส่วนต่างเอง ทำให้มีแนวโน้มว่าผู้ป่วยประกันสังคมอาจจะคำนึงถึงค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้มากขึ้น ซึ่งทางโรงพยาบาลมีแนวทางการตั้งรับนั่นคือ นำเทคโนโลยี telemedicine มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย และลดค่าใช้จ่ายในอีกทางหนึ่ง
“ทางโรงพยาบาลไม่ได้ร้องเรียนกับทางสำนักงานประกันสังคม เนื่องจากทราบว่ามีงบประมาณจำกัด ทุกโรงพยาบาลจึงพยายามรักษาให้ค่าใช้จ่ายอยู่ในงบที่สำนักงานให้มา มีเพียงค่าหัว และการเบิกจ่ายเงินที่ยังพบปัญหาไม่ปรับเพิ่มมาหลายปี ทำให้โรงพยาบาลพยายามบริหารจัดการต้นทุนเพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงาน” นพ.นพรัตน์ เน้นย้ำ
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่จะทำให้โรงพยาบาลเป็นที่ยอมรับของผู้ประกันตน คือ การนำกลยุทธ์มาสร้างความเชื่อมั่น และความมั่นใจให้ผู้ประกันตน เพราะมองว่าจะ “สิทธิ์ไหน” ก็ได้รับการบริการไม่แตกต่างกัน ฉะนั้นการรักษาให้หาย ให้คนไข้ดีขึ้นคือสิ่งที่โรงพยาบาลควรทำ แต่หากเกินกว่าศักยภาพที่จะรับไหว ก็จะทำการส่งต่อไปยังที่ที่มีศักยภาพ แต่นอกเหนือจากบริการทางการแพทย์ยังมีเครื่องมือแพทย์ ระบบ IT ที่ซัพพอร์ตอย่างดี ไม่ได้เก่าในการใช้กับผู้ประกันตน เพียงแต่ต้องมีการบริหารจัดการคิวมากกว่า
นพ.นพรัตน์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนใหญ่ผู้ประกันตนในพื้นที่นี้จะเข้ารับการรักษาด้วยอาการหลายโรค เช่น โรคทางเดินหายใจ ปอดบวม ไข้หวัดใหญ่ ท้องเสีย เวียนหัว และโรค NCDs ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่กระนั้นก็มีอุบัติบ้าง หรือแม้กระทั่งโรคที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ เป็นต้น
“โรงพยาบาลยังมีศักยภาพด้านการรักษาโรคซับซ้อนด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เช่น การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery: MIS) ที่ช่วยลดระยะเวลาพักฟื้น เพิ่มความแม่นยำ และลดค่าใช้จ่ายผู้ป่วย อีกทั้งยังมีศูนย์เฉพาะทางที่พร้อมให้บริการผู้ประกันตน อาทิ ศูนย์ทางเดินอาหาร ศูนย์ศัลยกรรมทรวงอก และศูนย์เวชศาสตร์ครอบครัว โดยในแต่ละวันมีผู้ป่วยในเฉลี่ยมากกว่า 120 ราย และผู้ป่วยนอกเฉลี่ยถึง 2,000 ราย”
อ่านข่าวหุ้น ข่าวทองคำ และ ข่าวการลงทุน และ การเงิน กับ Thairath Money ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney