“รสชาติความหรูหราที่เอื้อมถึง” ทำไมการเปิดคาเฟ่และร้านอาหารสำคัญกับแบรนด์ Luxury

Business & Marketing

Marketing & Trends

พิมพ์ชญา ภมรพล

พิมพ์ชญา ภมรพล

Tag

“รสชาติความหรูหราที่เอื้อมถึง” ทำไมการเปิดคาเฟ่และร้านอาหารสำคัญกับแบรนด์ Luxury

Date Time: 8 เม.ย. 2568 10:59 น.

Video

Amazon ธุรกิจนี้เจ๋งยังไง ทำไมถึงเป็นหุ้นลูกรักของใครหลายคน ? | Digital Frontiers EP.48

Summary

เมื่อโลกของแบรนด์ Luxury ไม่ได้หยุดอยู่แค่เสื้อผ้าอีกต่อไป หลายแบรนด์กำลังเปลี่ยนการ “บริโภคแบรนด์หรู” ให้จับต้องและกินได้ ! แบรนด์ได้ประโยชน์อะไรจากการลงทุนในธุรกิจนี้ ?

Latest


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นภาพของแบรนด์แฟชั่นระดับโลกอย่าง Louis Vuitton, Dior, Prada, Gucci, Saint Laurent, Burberry และอีกหลายแบรนด์ที่สร้างแคมเปญน่าสนใจมากมาย ขยับขยายจากรันเวย์เข้าสู่โลกของคาเฟ่ ร้านอาหาร ไปจนถึงโรงแรมหรู ล่าสุด Tapestry Group บริษัทแม่ของ Coach และ Kate Spade ก็ได้กลายเป็นอีกผู้เล่นรายใหญ่ที่กระโจนเข้าสู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเช่นเดียวกัน

อย่างที่เราจะเห็นว่าเมืองใหญ่ที่กำลังเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวในขณะนี้ เช่น โตเกียว โซล เซี่ยงไฮ้ ไต้หวัน กรุงเทพฯ จาการ์ตา และดูไบ ล้วนเป็นศูนย์กลางของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้คุณค่ากับประสบการณ์มากกว่าสินค้าเพียงอย่างเดียว มักจะกลายเป็นเป้าหมายการขยายสาขาที่ไม่ใช่แค่การเปิดร้านค้าทั่วไป แต่เป็นการสร้าง “คอนเซปต์สโตร์” (Concept Store) ที่ออกแบบมาให้เป็นมากกว่าร้านขายของ คือเป็น “พื้นที่ของประสบการณ์” ที่แบรนด์สามารถสื่อสารตัวตน ไลฟ์สไตล์ และโลกทัศน์ของตนได้อย่างครบถ้วน

แม้หลายคนมองการเปิดร้านอาหารจะดูไกลจากโลกแฟชั่น แต่ในยุคหลังโควิด แบรนด์ต่างๆ ต้องเร่งปรับตัวให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ทำให้เกิดแนวคิดในการออกแบบพื้นที่เชิงไลฟ์สไตล์ที่เข้าถึงใจผู้คนมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการผสานโลกของแฟชั่นเข้ากับ “ธุรกิจบริการ” (Hospitality & Experiential Retail) ทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือคาเฟ่ป๊อปอัปที่นับเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้โดย Ralph Lauren

ช่วงฤดูร้อนปีที่ผ่านมาแบรนด์ลักชัวรีอย่าง Dior และ Jacquemus เปิดตัวร้านอาหารสุดหรูในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง Saint Tropez และ Capri ที่กลายเป็นไวรัลใน Instagram ขณะที่ Ralph Lauren ผู้บุกเบิกโมเดลแห่งขยายโลกของแบรนด์ออกไปนอกเหนือจากสินค้าก็เดินหน้าเปิดสาขาใหม่ของร้านกาแฟ Ralph’s Coffee ทั่วโลก

เปลี่ยนการ “บริโภคแบรนด์หรู” ให้จับต้องและกินได้ !

การจับกระแสคนชอบเที่ยวคาเฟ่หรือนั่งร้านกาแฟ “Cafe Culture” ที่ได้กลายเป็นวัฒนธรรมของคนยุคใหม่ทำให้หลายแบรนด์ประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องกระตุ้นความสนใจ และภาพลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับวิถีชีวิตหลังโควิดและความต้องการสัมผัสของจริง หลังผ่านช่วงเวลาของโลกออนไลน์และการซื้อผ่านหน้าจอ ผู้คนโหยหา “ประสบการณ์จริง” แบรนด์จึงต้องออกแบบพื้นที่ที่ทำให้ลูกค้า “ได้รู้สึก” อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ “ได้เห็น” หรือ “ได้กดซื้อ”


คาเฟ่หรือร้านอาหาร กลายเป็นพื้นที่ที่แบรนด์สามารถควบคุมทุกองค์ประกอบ ทั้งบรรยากาศ การตกแต่ง กลิ่น รส ไปจนถึงเมนูพิเศษที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้อย่างลึกซึ้ง เป็นพื้นที่ที่ผู้บริโภคสามารถ "เข้าไปอยู่ในโลกของแบรนด์" ได้ แม้ไม่ต้องซื้อกระเป๋า รองเท้า หรือเสื้อผ้า แสดงให้เห็นว่า แฟชั่น ไม่ใช่แค่สวมใส่ แต่ยังกินได้อีกด้วย !

ลองนึกถึงภาพว่าการนั่งจิบกาแฟใน Le Café Louis Vuitton ที่ตกแต่งด้วยลวดลายโมโนแกรม หรือเค้กลาย Damier ที่รังสรรค์มาเพื่อสร้างความรู้สึกถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ นี่คือการสร้าง “สัมผัสใหม่” ที่เสื้อผ้าไม่สามารถให้ได้

แล้วแบรนด์ได้ประโยชน์อะไรจากการลงทุนในธุรกิจนี้ ?

  • ขยายอาณาจักรแบรนด์ให้กว้างขึ้น คาเฟ่ ร้านอาหาร รวมถึงโรงแรม ทำให้ผู้บริโภคมีเวลาสัมผัสแบรนด์นานขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นกับแบรนด์ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นยอดขายได้ในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อร้านค้าและจุดขายของแบรนด์ตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่เหล่านี้
  • เพิ่มการมองเห็นผ่านโซเชียลมีเดีย ร้านอาหารจากแบรนด์แฟชั่นมักถูกออกแบบให้เหมาะกับการทำคอนเทนต์ ถ่ายรูปสวย ทั้งสถานที่ อาหาร ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นคอนเทนต์ไวรัลในโซเชียลมีเดีย กลายเป็นจุดเช็กอินยอดนิยมที่ลูกค้าโพสต์ถึงแบรนด์แบบไร้ต้นทุน เป็น soft marketing ที่ทรงพลังสุดๆ ส่งผลให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างคอมมูนิตี้คนรักแบรนด์ คาเฟ่ที่มีการคิวต่อยาวเหยียด ไม่ได้เกิดจากแค่รสชาติกาแฟ แต่คือการได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่เข้าใจแบรนด์เดียวกัน การเปิดคาเฟ่หรือป๊อปอัปแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ทำให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้นผ่านไลฟ์สไตล์ที่แต่ละคนชอบ ซึ่งทำให้เกิดความภักดี (Loyalty) ที่ลึกกว่าแค่การซื้อสินค้า
  • เปิดประตูสู่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะซื้อเสื้อโค้ตราคาแสนได้ แต่อาจพร้อมจ่าย 200 บาทเพื่อกาแฟหนึ่งแก้วจากแบรนด์หรู คาเฟ่หรือร้านอาหารจึงกลายเป็นช่องทางใหม่ “Entry Point” สำหรับลูกค้าหน้าใหม่ที่อยากมีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ แม้จะยังไม่ซื้อสินค้าหลัก นี่คือการวางรากฐานให้ผู้บริโภครู้สึกผูกพัน ก่อนจะกลับมาจ่ายจริงในอนาคต

อนาคตของแบรนด์แฟชั่นอาจไม่ได้หยุดอยู่แค่รันเวย์

จะเห็นว่าในยุคที่การแข่งขันในตลาดหรูสูงขึ้น และผู้บริโภคต้องการ “สิ่งที่รู้สึกได้” มากกว่าแค่ “สิ่งที่เห็น” การต่อยอด “โลกของแบรนด์” ให้มีชีวิตจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญ ไม่แพ้การครองพื้นที่ในโลกออนไลน์ คาเฟ่ ร้านอาหาร รวมถึงโรงแรม หรือบริการอื่นๆ จึงกลายเป็นสนามใหม่ที่แบรนด์แฟชั่นต้องมีบทบาท และใครทำได้ดี ก็อาจคว้าใจผู้บริโภคในแบบที่แฟชั่นเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำได้อีกต่อไป

อ้างอิงข้อมูลจาก Forbes 


Author

พิมพ์ชญา ภมรพล

พิมพ์ชญา ภมรพล
from digital economies to the art of brand identity