
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา "อุตสาหกรรมไวน์" เคยเป็นหนึ่งในตลาดที่มั่นคงและเติบโตต่อเนื่อง โดยมีฐานผู้บริโภคที่ภักดีและวัฒนธรรมการดื่มที่ฝังรากลึกในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทว่า กระแสการบริโภคไวน์เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้อุตสาหกรรมไวน์ต้องปรับตัวเพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป บวกกับความตระหนักด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นและอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม แม้การบริโภคไวน์โดยรวมจะลดลง แต่อุตสาหกรรมไวน์กลับเห็นโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดเฉพาะกลุ่ม พบว่ากลุ่มไวน์ออร์แกนิก ไวน์พรีเมียม ไวน์ส้ม รวมถึงไวน์ไร้แอลกอฮอล์ กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น
องค์การระหว่างประเทศด้านองุ่นและไวน์ (International Organization of Wine and Vine – OIV) คาดการณ์ว่า การผลิตไวน์ทั่วโลกในปีที่ผ่านมาลดลงราว 2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1961 โดยมีปัจจัยสำคัญจาก ‘ปัญหาสภาพอากาศ’ และ ‘ภัยธรรมชาติ’ ที่กระทบต่อผลผลิตไวน์ โดยเฉพาะในฝรั่งเศส ผู้นำด้านการผลิตและส่งออกไวน์ของโลกที่ผลผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญจนส่งผลกระทบต่ออุปทานไวน์ทั่วโลก
แนวโน้มการผลิตไวน์ที่ลดลงยังสอดคล้องกับการบริโภคที่ลดลง โดยสถิติล่าสุดระบุว่า การบริโภคไวน์ทั่วโลกลดลง 2.6% ในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวเลขการบริโภคอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว
ริชาร์ด ฮอลสเตด (Richard Halstead) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการด้านการวิจัยผู้บริโภคของ IWSR อธิบายว่า “ผู้คนพยายามลดการดื่มแอลกอฮอล์ลงอย่างเห็นได้ชัด” เขาเสริมว่า แม้เครื่องดื่มประเภทสุรา เช่น คอนยัคและวิสกี้ จะยังคงได้รับความนิยมในโอกาสพิเศษ แต่ไวน์และเบียร์ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกที่บริโภคกันเป็นประจำ กำลังได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค
ทาเทียนา โฟคินา (Tatiana Fokina) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Hedonism Wines ร้านจำหน่ายไวน์และสุราหายากในย่านเมย์แฟร์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา เธอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะในด้านความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับไวน์
“ฉันคิดว่าผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับไวน์มากขึ้น พวกเขามีรสนิยมที่ซับซ้อนขึ้น และให้ความสนใจกับไวน์คุณภาพสูงมากกว่าการซื้อไวน์ทั่วไปที่มีคุณภาพระดับต่ำลงมา” โฟคินากล่าว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมคาดการณ์ว่า ตลาดไวน์ระดับพรีเมียมจะฟื้นตัวหลังจากที่ราคาลดลง 11% ในปี 2024 โดยโครงสร้างของผู้บริโภคไวน์ระดับนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 1946-1964) ซึ่งเคยเป็นตลาดหลักของไวน์กำลังลดบทบาทลง ในขณะที่คนรุ่นใหม่เริ่มเข้าสู่ตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งช่วยให้การเข้าถึงไวน์ระดับสูงเป็นไปได้ง่ายขึ้น
โฟคินากล่าวเสริมว่า ปัจจุบันผู้บริโภคยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อไวน์คุณภาพดีเพียงขวดเดียว มากกว่าที่จะซื้อไวน์ธรรมดาหลายขวด นอกจากนี้ ความนิยมในการซื้อไวน์ขวดเล็กครึ่งขวดก็กำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคไม่ต้องการเปิดไวน์ขวดใหญ่เมื่อดื่มเพียงคนเดียวในวันธรรมดา
ขณะเดียวกัน กลุ่มคนรุ่นใหม่ กำลังเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ ‘ตลาดไวน์ไร้แอลกอฮอล์’ โดยเฉพาะ Gen Z (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 1996-2012) ปัจจุบันคิดเป็น 45% ของกลุ่มผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และพวกเขามีแนวโน้มดื่มน้อยกว่าคนรุ่นก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเหตุผลหลักมาจากการให้ความสำคัญกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ที่สมดุล ผลสำรวจของ Mintel ระบุว่า คนวัย 20-24 ปีในสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น้อยกว่าคนรุ่นก่อนถึงครึ่งหนึ่ง
โดย IWSR คาดการณ์ว่า ตลาดเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะไวน์ไร้แอลกอฮอล์ ซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 12% ในช่วงปี 2023-2027 ในขณะที่ตลาดเบียร์และไซเดอร์ไร้แอลกอฮอล์เติบโตเพียง 2%
มิเชล ดูเคริส (Michel Doukeris) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ AB InBev บริษัทผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ กล่าวว่า ตัวเลือกไร้แอลกอฮอล์ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของแอลกอฮอล์
“ปกติแล้ว คนที่ต้องขับรถอาจไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่ปัจจุบันพวกเขาสามารถเลือกเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ ดื่มสังสรรค์กับเพื่อน และขับรถกลับบ้านได้” ดูเคริสกล่าว พร้อมเสริมว่าผู้บริโภคจำนวนมากกำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนโดยหันมาเลือกเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์มากขึ้น
“อุตสาหกรรมกำลังคิดหาวิธีทำให้ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินมากขึ้น ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจขึ้น” ฮอลสเตดกล่าว “คุณจะเห็นว่า ไวน์ธรรมชาติ ไวน์ออร์แกนิก ไวน์ส้ม และไวน์ที่ผลิตด้วยวิธีดั้งเดิมเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะผู้บริโภคต้องการควบคุมการเลือกของตนเอง และสนใจคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์มากกว่าที่จะมองว่าเป็นเพียงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”
แนวโน้มนี้ทำให้ตลาดไวน์เฉพาะกลุ่มเติบโตขึ้นอย่างมาก รายงานจากบริษัทวิจัยตลาด Horizon ระบุว่า ตลาดไวน์ออร์แกนิกจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 10.3% ระหว่างปี 2024-2030 โดยยุโรปจะเป็นภูมิภาคที่สร้างรายได้สูงสุด ขณะเดียวกัน ไวน์ส้ม ซึ่งเป็นไวน์ขาวที่หมักพร้อมกับเปลือกองุ่นนานขึ้น ก็กำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
อ้างอิงข้อมูลจาก CNBC
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -