
จะสู้ด้วย “ความเท่” เช่นเดิม เห็นจะเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องสู้ด้วย “นวัตกรรม” และ “Health Benefits”
เพราะในวันนี้ “หมากฝรั่ง” ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ที่จำกัดอยู่ในกลุ่มวัยรุ่น หรือ ผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เหมาะกับผู้บริโภคทุกช่วงวัย และเพื่อขยายฐานลูกค้า พร้อมกับเปิดรับทิศทางการเติบโตที่เป็นบวก ด้วยปัจจัยหลักอย่างการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว รวมถึงผู้คนที่กลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น
เราจะสังเกตเห็นว่า “หมากฝรั่ง” มีการปรับตัวอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกันกับ “เดนทีน” ที่ได้มีการปรับพอร์ตโฟลิโอ ปรับแพ็กเกจจิ้ง และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง
แต่รู้หรือไม่ว่าที่มาของไอเดียที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนั้นล้วนมาจากวิชชัน ของ บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ในฐานะผู้นำของตลาดหมากฝรั่ง ที่คิดค้นขึ้นมา
อนุรัก อากาวัล หัวหน้าฝ่ายการตลาด มอนเดลีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2566 ตลาดผลิตภัณฑ์หมากฝรั่งในประเทศไทย มีมูลค่ารวม 3.1 พันล้านบาท เติบโตประมาณ 5% ต่อปี ต่างจากตลาดหมากฝรั่งในปี 2563-2564 ที่เจออุปสรรคของโควิด ตลาดค่อนข้างตกเยอะมาก ถ้าเทียบกับกลุ่มลูกอม หรือบิสกิต เพราะผู้บริโภคหมากฝรั่งส่วนใหญ่ มักเป็นที่นิยมในกลุ่มคนที่ออกนอกบ้าน และนักท่องเที่ยว ดังนั้นเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ตลาดก็กลับมาโตเช่นเดิม โดย “มอนเดลีซ” ยังคงครองอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งการตลาด 60% แบ่งเป็น ‘เดนทีน’ ผู้นำตลาดที่ 40% คลอเร็ท 20%
ทั้งนี้ “เดนทีน” ถือเป็นผู้นำตลาดหมากฝรั่ง ที่มีพอร์ตโฟลิโอค่อนข้างกว้าง โดยมีหลายๆ โปรดักต์รวมกว่า 16 SKUs ทั้งหมากฝรั่งที่มีความเย็น หมากฝรั่งที่เป็น Splash ซึ่งล่าสุด ได้เปิดตัวหมากฝรั่งรสชาติใหม่ “Dentyne Splash Lychee” หมากฝรั่งสอดไส้ปราศจากน้ำตาล ผสมคอลลาเจน และวิตามินซี กลิ่นลิ้นจี่ อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์เอาใจคนรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจสุขภาพและความงาม ช่วยบำรุงผิวเหมาะสำหรับชาว Gen Z ตอกย้ำแบรนด์หมากฝรั่งผู้นำอย่างต่อเนื่อง
“โปรดักต์นี้มาจากการทำ Research กับผู้บริโภคทุกๆ 1-2 ปี เพื่อเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคว่าต้องการอะไร และมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ทำให้สามารถพัฒนาโปรดักต์ และออกโปรดักต์ได้ตรงตามความต้องการ รวมทั้งการโฟกัส health benefits เพราะหลังจากสถานการณ์โควิดเราก็รู้เทรนด์ว่าคนสนใจ Health&Wellness มากขึ้น ดังนั้นหมากฝรั่งเดนทีนรสลิ้นจี่ จึงมาจากการดึงลิ้นจี่ที่เป็นผลไม้ที่ทุกคนคุ้นเคย และชื่นชอบ เมื่อมาในรูปแบบของ Splash จึงกลายเป็นโปรดักต์ที่มีความใหม่ และแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด บวกกับการใส่วิตามินซี และคอลลาเจน ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นเท่าไรนักในตลาดหมากฝรั่ง จะทำให้สามารถสามารถเจาะกลุ่มผู้หญิงได้มากขึ้น”
ส่วนการเติบโตตั้งเป้าโต 5-10% ทุกปี ซึ่งการที่เราพัฒนาโปรดักต์ หรือ ออกโปรดักต์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคและช่วยขับเคลื่อนสัดส่วนการเติบโตให้กลับมาเหมือนเดิม
อนุรัก กล่าวต่อไปว่า หลักๆ กลุ่มเป้าหมายจะเป็น Gen Z แต่จริงๆ คนที่กินโปรดักต์ของเรามันกว้าง อายุระหว่าง 18-40 ปี แต่โอกาสการเติบโตอยู่ที่กลุ่ม 18-25 ปี
ดังนั้นการเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ โดยดึงอินฟลูเอนเซอร์มาเป็นแม็กเน็ต เพราะมองว่าเป็นการสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ เพื่อให้คนติดตามของอินฟลูฯ ได้รับรู้ว่าเดนทีนมีสินค้าใหม่ มันดียังไง และมีประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งจะช่วยสร้างยอดขายด้วย เป็นอีกวิธีหนึ่งนอกจากสื่อสารผ่านสื่อ
และเมื่อถามถึงแนวทางการรักษาตำแหน่งผู้นำ อนุรัก มองว่า มันท้าทายมาก เพราะคนที่อยู่อันดับถัดไป 2 และ 3 พยายามจะขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเราต้องรักษามาตรฐานด้วยสูตร 3 ประการคือ
1.ต้องลงทุนด้าน R&D ในโปรดักต์ รวมทั้งพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับเทรนด์ผู้บริโภคอยู่เสมอ อย่างล่าสุดเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการปรับพอร์ตโฟลิโอเป็น Suger free ทั้งหมด เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น
2.ปลุก “ความน่าตื่นเต้น” ในตลาดใหม่ๆ อย่างเช่น ปีที่ผ่านมามีการจับมือกับแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Red Bull เปิดตัว หมากฝรั่ง เดนทีน สแปลช เรดบูล (Dentyne Splash Red Bull) ทั้งหมดนี้เป็นการนำ Learning มาพัฒนาในสินค้าใหม่ๆ ให้มีความตื่นเต้นในตลาด
3.ใส่ใจ “คุณภาพ” ซึ่งต้องพัฒนาสินค้าให้คนทัช ทั้งโปรดักต์ของเดนทีน หรือโปรดักต์อื่นๆ ของมอนเดลีซให้สามารถเสิร์ฟสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการได้
ดังนั้นถ้าสังเกตจะพบว่าทุกๆ กลยุทธ์การตลาด และผลิตภัณฑ์ใหม่ของ “เดนทีน” ล้วนมาจากอินไซต์ความต้องการของผู้บริโภค นั่นก็เพราะการขึ้นเป็นที่หนึ่งนับว่ายากแล้ว แต่การรักษาตำแหน่งเอาไว้นั้นยากยิ่งกว่า จึงไม่แปลกใจที่เดนทีนจะสามารถยืนหยัดในฐานะผู้นำของตลาดหมากฝรั่ง มาได้ตลอดหลายปี
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMone