“จอลลี่แบร์” เยลลี่หมี ในมือ Gen 3 ดึงจุดแข็งสร้างมาตรฐาน ขยายช่องทางขาย กวาดรายได้สูงถึง 300 ล้าน

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

“จอลลี่แบร์” เยลลี่หมี ในมือ Gen 3 ดึงจุดแข็งสร้างมาตรฐาน ขยายช่องทางขาย กวาดรายได้สูงถึง 300 ล้าน

Date Time: 25 พ.ค. 2567 08:00 น.

Video

SAWAKAMI บลจ.ญี่ปุ่นบุกไทย | BrandStory Exclusive EP.26

Summary

“ขนมเยลลี่หมี” ของ “จอลลี่แบร์” แบรนด์ขนมขบเคี้ยวสัญชาติไทย ที่ถือหุ้นและบริหารโดยคนไทย 100% ในมือ Gen 3 ดึงจุดแข็งสร้างมาตรฐาน ขยายช่องทางขาย กวาดรายได้สูงถึง 300 ล้าน

Latest


แน่นอนว่าหากใครเคยทาน “ขนมเยลลี่หมี” ของ “จอลลี่แบร์” แบรนด์ขนมขบเคี้ยวสัญชาติไทย ที่ถือหุ้นและบริหารโดยคนไทย 100% แสดงว่าคุณไม่เด็ก! แล้วนะ เพราะด้วยชื่อเสียงที่โลดแล่นในตลาดมานานกว่า 50 ปี ที่ผลิตโดย “บริษัท พงษ์จิตต์ จำกัด” ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากการผลิตลูกอมแบบแข็ง แต่ด้วยสภาพตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง ทำให้ทายาทรุ่นที่ 2 ที่มารับช่วงต่อ ต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต จึงกลายเป็นจุดพลิกผันให้หันมาผลิต “เยลลี่” รูปหมีแทนนั่นเอง

พลากร เชาวน์ประดิษฐ์ หรือ นิค เจ้าของแบรนด์ “จอลลี่แบร์” ทายาทรุ่นที่ 3 เล่าเรื่องขยายความต่อให้ฟังว่า ต้องยอมรับว่าในยุคนั้น คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักเยลลี่ จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนตัดสินใจซื้อ เลยตัดสินใจทำการตลาดผ่านสื่อโฆษณาในช่องทางหลักอย่าง ทีวี หนังสือ ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง สินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แม้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา บริษัทจะไม่ได้สร้างแบรนด์อย่างจริงจังเหมือนเดิม แต่แบรนด์ก็ยังคงสามารถขายสินค้าได้ด้วยตัวของแบรนด์เอง

กระทั่งเมื่อช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา มีผู้เล่นรายอื่นเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากต่างประเทศ บริษัทจึงต้องมุ่งสร้างแบรนด์อย่างจริงจังอีกครั้ง เนื่องจากแบรนด์ “จอลลี่แบร์” อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน ผู้บริโภคที่เป็น Gen ใหม่ๆ อาจไม่สามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของแบรนด์ได้ อีกทั้งรูปแบบการทำการตลาดแบบเดิมๆ ผ่านช่องทางหลัก อาจไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคที่ใช้เวลาในโลกโซเชียลมากขึ้น

สำหรับรูปแบบการสร้างแบรนด์และทำการตลาดที่ทางบริษัทใช้ในปัจจุบันคือ การทำผ่าน Offline ควบคู่กับ Online แต่จะเน้นที่ Online เป็นหลัก โดยการใช้ Influencer ทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้ง YouTube Facebook TikTok Instagram ในการรีวิวสินค้าช่วยสร้างกระแส ก่อให้เกิดการบอกต่อ ทำให้เกิดการมองหาสินค้า ตัวสินค้าเองก็ต้องได้มาตรฐาน เดินหน้าพัฒนาสินค้าให้มีความสดใหม่อยู่เสมอ ทั้งรสชาติใหม่ แพ็กเกจจิ้งใหม่ หรือหาพันธมิตรในการออกสินค้าใหม่ร่วมกันก็ได้

หาจุดแข็ง สร้างมาตรฐาน จับมือพันธมิตร

ทั้งนี้ การยืนหยัดในตลาดที่มีผู้เล่นจำนวนมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เพราะแบรนด์ที่ดีจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น เชื่อใจ และน่าเชื่อถือให้กับองค์กรและสินค้า 

โดยการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งได้นั้น จะต้องอาศัย 3 ข้อหลักๆ คือ 

  1. ต้องหาจุดแข็งของสินค้าให้เจอ สำหรับจอลลี่แบร์ก็คือ ความคุ้มค่า มีประโยชน์ มุ่งเน้นความปลอดภัย
  2. สร้างมาตรฐานให้กับสินค้า สินค้าต้องได้มาตรฐานสากลในทุกด้าน
  3. เดินหน้าหาพันธมิตรเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน 

จับมือข้ามสาย ดันเยลลี่หมี เข้าถึงทุกกลุ่ม 

อย่างในช่วงหนึ่ง จอลลี่แบร์ได้จับมือแบรนด์รองเท้ากีโต้ เพื่อทำรองเท้าของจอลลี่แบร์ออกมาช่วงหนึ่ง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี โดยทั้ง 3 สิ่งนี้ ทำให้จอลลี่แบร์ยังคงอยู่ในตลาดได้ พร้อมอัตราการเติบโตด้านยอดขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทมียอดขายสูงถึง 300 ล้านบาท 

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ พลากร เน้นย้ำคือ เมื่อไรที่หยุดสร้างแบรนด์ก็จะมีปัญหาเมื่อนั้น เพราะคู่แข่งพร้อมที่จะมาแซงหน้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแบรนด์จึงเป็นหัวใจหลักที่เราต้องรักษาและทำให้ดี และต้องขยับขยาย พร้อมกับหาลู่ทางใหม่ๆ อยู่เสมอ

ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ