
เพราะความสวย ความงามไม่เข้าใครออกใคร! เมื่อหมดยุค “ใส่แมสก์” ปิดหน้า ปิดตา คนก็เริ่มหันมาแต่งหน้ามากขึ้น เห็นได้จากการที่ทุกเพศ ทุกวัย ต่างให้ความสนใจกับเรื่องของความสวย ความงาม โดยเฉพาะ “กลุ่มเด็ก” ที่ทุกวันนี้หันมาซื้อเครื่องสำอาง แต่งหน้า รีวิว แม้ว่ากำลังซื้อในประเทศจะยังคงเปราะบาง และค่าครองชีพจะพุ่งสูงขึ้นก็ตาม ดันตลาดบิวตี้สโตร์แข่งดุ แห่เปิดสาขาใหม่เป็นจำนวนมาก
หนึ่งในนั้นคือ “อีฟแอนด์บอย” (EVEANDBOY) ร้านมัลติแบรนด์ความงามสัญชาติไทย ที่โลดแล่นอยู่ในตลาดมานานกว่า 20 ปี จากสาขาแรกที่มหาสารคาม สู่ 30 สาขาเกือบทั่วทั้งประเทศ ที่ตอนนี้หากเอ่ยชื่อไป ไม่ว่าใครเป็นต้องรู้จักอย่างแน่นอน
หิรัญ ตันมิตร หรือ บอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟแอนด์บอย จำกัด เปิดเผยว่า ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย ระบุว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดความงามไทยมีมูลค่าตลาดประมาณ 258,275 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11.6% ส่วนของอีฟแอนด์บอยยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 30%
ซึ่งหลักๆ จะมาจากยอดขายหน้าร้านที่มีสัดส่วนสูงถึง 87% ขณะที่ออนไลน์อยู่ที่ 13% สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคยังคงชื่นชอบในการเดินเลือกซื้อ และได้ทดลองสินค้า โดยที่ไม่ยึดติดกับแบรนด์
และจากข้อมูลยังพบว่า ลูกค้าของอีฟแอนด์บอย มีความ “เด็ก” มากกว่าเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มเล็ก 18-24 ปี อยู่ที่ 10% ที่มีการซื้อซ้ำ 4 ครั้งต่อปี ส่วนกลุ่มลูกค้า 25-34 ปี ถือเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ที่ 50% ซื้อ 5 ครั้งต่อปี ขณะที่สัดส่วนการซื้อต่อคนอยู่ที่ประมาณ 3 ชิ้นต่อคน
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่ากลุ่มสินค้าที่มียอดขายเติบโต ได้แก่ สกินแคร์ เมกอัพ และน้ำหอม อันดับหนึ่งยังคงเป็น “เมกอัพ” แต่หากมองลึกลงไปที่ขายดีที่สุดคือ ลิปสติก ทั้งในด้านวอลุ่ม และยูนิต
ปัจจุบันอีฟแอนด์บอยมีสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์แบ่งเป็นกลุ่มสกินแคร์ 35%, กลุ่มเมกอัพ 33%, น้ำหอม 14% และอื่นๆ 18% โดยทั้งหมดนี้มีทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ รวมแล้วกว่า 100,000 SKUs
อีกสิ่งหนึ่งที่ อีฟแอนด์บอย มั่นใจและภูมิใจคือได้การเป็น Beauty Retailer อันดับหนึ่งที่มี Exclusive แบรนด์มากที่สุดในประเทศไทย และล่าสุดได้เปิดตัว Kylie Cosmetic เป็น Exclusive แบรนด์ล่าสุดของอีฟแอนด์บอย ซึ่งใช้ระยะเวลาในการดีลสูงถึง 3 ปี จากปกติในการดีลจะอยู่เพียง 1-2 ปีเท่านั้น หนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ขนทัพเมกอัพและน้ำหอมแบรนด์ Kylie ทำให้ปัจจุบันอีฟแอนด์บอยมีสินค้า Exclusive กว่า 1,000 รายการ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% รวมกว่า 30 แบรนด์
“แต่เดิมลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบเคาน์เตอร์แบรนด์ ซึ่งแบรนด์ไทยไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นว่าคนไทยเปิดรับมากขึ้น เพราะด้วยความที่สินค้ามีคุณภาพ ราคาเข้าถึงได้ ประกอบกับอีฟแอนด์บอยต้ังอยู่ในโลเคชั่นที่มีนักท่องเที่ยวเข้าถึง โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนต่างจังหวัดจะมีประมาณ 25% อาทิ พัทยา ขอนแก่น โคราช หาดใหญ่ มหาสารคาม ทำให้แบรนด์ไทยได้รับความนิยมมากขึ้น ผลักดันยอดขายแบรนด์ไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันอยู่ที่ 30% จากยอดขายสินค้าทั้งหมด”
โดยการเลือกแต่ละแบรนด์ให้เข้ามาอยู่ในร้านนั้น หิรัญ บอกว่า จะต้องดูจากเทรนด์ในโซเชียลมีเดีย และการซื้อหน้าร้าน หากสินค้าตัวใดได้รับความนิยม ก็จะไม่พลาดที่จะนำเอามาไว้ในร้าน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทำให้อีฟแอนด์บอยมักจะมีแบรนด์ใหม่ๆ เสมอ ปัจจุบันมีฐานลูกค้ามากกว่า 2 ล้านคน
ด้านความท้าทาย หิรัญ มองว่า ความเร็วในการบริหารจัดการสต๊อกคือสิ่งสำคัญ โดยทุกวันนี้ลอตนึงอาจจะอยู่แค่ 1-2 เดือน ซึ่งถือเป็นเรื่องยากมาก เพราะความสนใจของลูกค้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นแบรนด์จะต้องเป็นเป็นเดสติเนชั่นของคน ที่อยากจะมาซื้อความสวยความงามนั่นเอง
ทั้งนี้ สเตปถัดไปคือ การเปิดแฟล็กชิพสโตร์แห่งใหม่ใจกลางสยามสแควร์ ที่จะมาเขย่าวงการบิวตี้เมืองไทย ด้วยการจัดวางและนำเสนอสินค้าแบบ Mix Brand Category ให้ลูกค้าได้เลือกช็อป สอดรับเทรนด์การช็อปปิ้งในปัจจุบันของลูกค้าที่นิยมช็อปปิ้งเครื่องสำอางแบบมิกซ์แอนด์แมตช์ มาพร้อมรูปแบบดีไซน์ร้านสุดล้ำกับ Innovative Multi Media ขนาดใหญ่ใจกลางเมือง บนพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร
ส่วนแผนนอีก 3-5 ปีข้างหน้า คือ การเพิ่มเอาท์เลตมากขึ้น แต่ก็ต้องมีการขยับขยายอย่างระมัดระวัง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและช่วงชิงโอกาสทางธุรกิจ
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney