
ภาพรวมของตลาดขนมขบเคี้ยวของประเทศไทยในปี 2566 ที่ผ่านมา จากรายงานของ NielsenIQ ระบุว่า ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องราว 7% ขณะที่ภาพรวมของตลาดมันฝรั่งทอด มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 14,000 ล้านบาท ซึ่งเกิดการชะลอตัวจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19
แต่ในทางกลับกันตลาดมันฝรั่งทอดกรอบแบบกระป๋อง แม้มีมูลค่าตลาดรวมยังไม่สูงมากราว 2,600 ล้านบาท แต่กลับเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับปี 2565 และมีศักยภาพในการเติบโตสูงขึ้นในอนาคต
พร้อมคาดการณ์ว่าในปี 2567 ตลาดมันฝรั่งทอดกรอบแบบกระป๋องจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีเลย์สแตคส์เป็นผู้เล่นหลักในการผลักดันการเติบโตของตลาด เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่คลี่คลายลง ทำให้ประชาชนสามารถออกมาใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน และสามารถพบปะเพื่อนฝูงได้เป็นปกติ ขนมขบเคี้ยวอย่าง “มันฝรั่งทอดกรอบ” จึงเปรียบเสมือนของคู่กายในวงสนทนาเลยก็ว่าได้
“เลย์” ในฐานะขนมขบเคี้ยวประเภทมันฝรั่งทอดกรอบ ที่เรามักจะเห็นหน้าคร่าตากันเป็นอย่างดี ด้วยภาพจำของขนมซองสีเหลือง ชวนน่าลิ้มลอง อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 28 ปี ได้มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รสชาติที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรสเมี่ยงคำ รสสาหร่าย แผ่นเรียบ แผ่นหยัก หรือแม้กระทั่งพัฒนามาสู่รูปแบบ “ป๋อง” หรือเรียกว่า เลย์สแตคส์ ที่มีการจัดวางอย่างสวยงาม ทำให้หยิบทานง่าย ต่อมาเมื่อได้รับความนิยม ก็ขยับขยายสู่รูปแบบถุง ที่ยังคงมีฐานรองจัดเรียงให้ดีดังเดิม
พรรณทิพา พงศ์ชัยฤกษ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผลิตภัณฑ์เลย์ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากจากแคมเปญ Lay’s Stax Trust Your Tongue Challenge มีจำนวนผู้เข้าร่วมชิมเลย์สแตคส์ รสซาวครีมและหัวหอม พร้อมโหวตความชอบแบบเรียลไทม์กว่า 7,000 คนทั่วกรุงเทพฯ โดยผู้บริโภคที่ได้ชิมต่างโหวตชื่นชอบรสชาติสูงถึง 99% (จากผลสำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 โดยผู้บริโภคที่ทดลองเลย์สแตคส์ รสซาวครีมและหัวหอม จำนวน 7,046 คน)
ถือเป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ในเรื่องความอร่อยของสินค้า ที่ออกแบบรสชาติมาเพื่อคนไทย และถูกปากคนไทยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังส่งผลให้ปี 2566 เลย์สแตคส์มีการเติบโตของส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดมันฝรั่งทอดกรอบแบบกระป๋องถึง 7.3% เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งทางการตลาดปี 2565 นับว่าปี 2566 เลย์สแตคส์ได้ส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงที่สุดตั้งแต่เราเปิดตัวมา
ดังนั้นในปี 2567 เลย์สแตคส์ จึงเดินหน้าเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นกลุ่ม First Jobber และวัยทำงาน ช่วงอายุ 20-35 ปี จากเดิมทาร์เก็ตจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เด็กนักเรียน เด็กมหาวิทยาลัย จนถึงวัยทำงาน แต่ปีนี้ได้ทำให้ชัดมากขึ้นด้วยการจับกลุ่ม First jobber พร้อมกับสร้างภาพลักษณ์ที่ดูพรีเมียมขึ้น
ผ่านกิจกรรมทางการตลาด โดยเริ่ม Kick-off กิจกรรมแจกสินค้าทดลองให้ผู้บริโภคได้ชิมกว่า 400,000 ชิ้นในช่วงครึ่งปีแรก พร้อมเปิดตัวแคมเปญทางการตลาดใหม่ ที่ต่อยอดมาจากแคมเปญที่แล้วเป็นปีที่ 2 ภายใต้คอนเซปต์ที่เข้าถึง Insight กลุ่มเป้าหมาย กับแคมเปญ “เปิดโหมดพัก เปิดเลย์สแตคส์”
โดยมีแนวคิดมาจาก Insight ของผู้บริโภคที่มักจะนึกถึงมันฝรั่งทอดกรอบแบบกระป๋องในโมเมนต์ที่เป็น “Me time” หรือช่วงเวลาที่ต้องการพักเบรกจากเรื่องวุ่นวายต่างๆ เช่น พักสมองจากเรื่องเครียดๆ พักกายจากปัญหาแวดล้อม และผู้ที่ต้องการพักผ่อนคนเดียวแบบสบายๆ กับแผ่นมันฝรั่งที่มีความ Finest ทั้งเรื่องของรูปทรง หยิบทานง่าย สะดวก ไม่เลอะเทอะ รสชาติกลมกล่อม กรอบ สร้าง Experience ให้กับผู้บริโภค ผ่านบูธกิจกรรม “STAX TIME ZONE” ที่จะมาช่วยเปิดโหมดพักให้กับชาวออฟฟิศทั่วกรุงเทพฯ
“เราสร้างการรับรู้ Nationwide ทั่วประเทศผ่าน TVC โฆษณา แต่สื่อโฆษณานอกบ้าน หรือ Out of Home (OOH) อาทิ แผ่นป้ายโฆษณา จะเน้นในกรุงเทพฯ และกิจกรรม Activation ก็จะเป็นในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่นเดียวกัน”
นอกจากนี้ยังทำการปรับโฉมบรรจุภัณฑ์ใหม่ให้มีความพรีเมียมมากขึ้น อาทิ สีสันอันโดดเด่นสะดุดตา, ภาพอาหารที่ดูน่ารับประทานมากขึ้น และภาพแผ่นมันฝรั่งบนซองที่สื่อถึงผลิตภัณฑ์ด้านในอย่างชัดเจน รวมถึงแบรนด์ดิ้งที่อ่านง่าย โดดเด่นขึ้น ซึ่งทยอยวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
พร้อมดึง ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร นั่งแท่นพรีเซนเตอร์ของครอบครัวเลย์คนล่าสุด เนื่องจากมีคาแรกเตอร์เป็นตัวของตัวเอง และสามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ความพรีเมียม ที่มาพร้อมความสนุก สดใสในแบบเลย์ จับกลุ่มเป้าหมายชาวออฟฟิศ อายุ 20-35 ปี ได้เป็นอย่างดี
ติดตามข้อมูลข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney