นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ประเทศไทยถือเป็นตลาด 5G ที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มอาเซียน และอาจรวมถึงในทวีปเอเชีย เมื่อพิจารณาจากการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับ 5G ทั้งจากภาครัฐและเอกชน
“รัฐบาลไทยมีนโยบายขับเคลื่อน 5G ที่ชัดเจน ตั้งแต่การจัดตั้งคณะกรรมการ 5G และการก่อกำเนิดของสมาร์ทซิตี้หลายแห่งรองรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ตลอดจนการลงทุนขยายโครงข่าย 5G ของบรรดาค่ายมือถือ จึงถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง ของหัวเว่ยมาตลอด 22 ปี ที่ดำเนินธุรกิจในไทยมา”
ทั้งนี้ วิกฤติโควิดที่เกิดขึ้นได้ช่วยเร่งให้การใช้งานดิจิทัลขยายตัวเร็วขึ้นอีก 5-7 ปี และเป็นปัจจัยสำคัญที่หัวเว่ยตัดสินใจแต่งตั้งนายชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้บริหารไทยคนแรก ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจของหัวเว่ยในไทยเดินหน้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันหัวเว่ยสนับสนุนโครงข่ายสถานีฐาน 5G ทั่วประเทศผ่านค่ายมือถือ 10,000 สถานีฐาน และจะขยายเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ เพื่อรองรับการเข้าถึง (penetration rate) 5G ในประเทศที่คาดว่าสูงถึง 10% ของผู้ใช้งานมือถือทั้งหมดในสิ้นปี จากเมื่อปีที่แล้วการเข้าถึง 5G อยู่ที่ 2-3%
“ด้านธุรกิจคลาวด์ สำหรับตลาดประเทศไทย หัวเว่ยจะลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลแห่งที่สาม สำหรับการให้บริการคลาวด์ในไทยในปีนี้ งบลงทุน 700 ล้านบาท และจะจับมือร่วมกับพาร์ตเนอร์ เพื่อเปิดตัวแพลตฟอร์มคลาวด์ สำหรับภาคอุตสาหกรรมและกลุ่มเอสเอ็มอี โครงการเหล่านี้ของ หัวเว่ย จะช่วยส่งเสริมประเทศไทยในการก้าวขึ้นเป็นดิจิทัลฮับแห่งภูมิภาค รวมทั้งเร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในประเทศ”.