นักลงทุนร้องเมียนมาแก้ปัญหาตามแนวทางประชาธิปไตย คาดรัฐประหารกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ด้านบริษัทสหรัฐฯ อาจพับเสื่อกลับประเทศหลังรัฐบาล 'ไบเดน' ให้ความสำคัญต่อประเด็นสิทธิมนุษยชน
สำนักข่าว อัลจาซีรา รายงาน เหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมาส่งผลกระทบต่อการลงทุนของสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตก จนถึงขนาดพับเสื่อกลับประเทศ ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์จากวิลสัน เซ็นเตอร์ ชี้ว่านอกจากการรัฐประหารในประเทศจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมาและสหรัฐฯ ตึงเครียด ยังทำให้เมียนมาถูกจับตาด้านสิทธิมนุษยชน ในประเด็นชาวโรฮีนจา ทำให้การลงทุนในเมียนมามีความน่าสนใจน้อยลงสำหรับนักลงทุนจากประเทศตะวันตก ขณะที่นักลงทุนสหรัฐฯ อาจถอนตัวจากเมียนมา หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้นายโจ ไบเดน ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นสิทธิมนุษยชน
การลงทุนค้าขายสินค้าระหว่างเมียนมาและสหรัฐฯ มีมูลค่าอยู่ที่เกือบ 1,300 ล้านสหรัฐฯ หรือราว 38,961 ล้านบาท ในปี 2563 ที่ผ่านมา โดยสินค้าประเภทเครื่องแต่งกายและรองเท้ามีสัดส่วน 41 เปอร์เซ็นต์ ของสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากเมียนมา รองลงมาเป็นกระเป๋าเดินทางที่มีสัดส่วนราว 30 เปอร์เซ็นต์ ถัดมาเป็นปลา มีสัดส่วนราว 4 เปอร์เซ็นต์
โดยบริษัท แซมโซไนท์ แบรนด์กระเป๋าเดินทางชื่อดัง เป็นหนึ่งในบริษัทรายใหญ่ที่นำเข้าสินค้าจากเมียนมา เช่นเดียวกับบริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าอย่าง H&M และ Adidas ขณะเดียวกันตัวเลขการนำเข้าสินค้าจากเมียนมาได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากภาษีการนำเข้าสินค้าจากจีน โดยเมียนมาถูกจัดให้เป็นประเทศอันดับที่ 84 ของประเทศผู้ส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ
ด้านธนาคารโลก รายงานการลงทุนของบริษัทต่างชาติในเมียนมาได้เพิ่มขึ้นถึง 33 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่า 5,500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 164,876 ล้านบาท ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ถึง 2563 โดยบริษัทจากสิงคโปร์เป็นชาติที่ลงทุนในเมียนมามากที่สุด รองลงมาเป็นประเทศจีน
ถึงแม้ว่าบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ บางส่วนได้ย้ายฐานการผลิตจากจีน ไปยังเมียนมาในช่วงปีที่ผ่านมาเนื่องจากค่าแรงที่ต่ำกว่า แต่เมียนมายังขาดโครงสร้างพื้นฐานที่สมบูรณ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การลงทุนในเมียนมาไม่เฟื่องฟูเท่าที่ควร ขณะเดียวกันได้มีเสียงจากนักลงทุนที่หวังให้เมียนมาแก้ปัญหาตามแนวทางประชาธิปไตย.
ที่มา: Aljazeera