หลังจากทยอยเปิดตัวโมเดลค้าปลีกใหม่กับ “เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน” ได้รับคำชมจากผู้บริโภคจำนวนมากว่านี่แหละคือศูนย์การค้าที่มีชีวิต ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสังคมยุคใหม่ เข้ามาใช้ชีวิต เดินเล่น พักผ่อนกันอย่างมีความสุขและแนะนำต่อๆกันให้ลองไปดูความสดใหม่ที่มีอะไรน่าสนใจดึงดูดและพูดถึงกันมาก
เป็นที่ทราบกันดีว่าในธุรกิจศูนย์การค้าห้างสรรพสินค้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประสบกับมรสุมลูกใหญ่หลายๆลูกด้วยกัน จากผลกระทบปัญหาทางเศรษฐกิจมาต่อเนื่อง และที่สำคัญโดนเทคโนโลยีมา “ดิสรัป” ผู้บริโภคหันไปช็อปปิ้งออนไลน์กัน และล่าสุดกับวิกฤติโควิด-19
เรามาดูกันว่าทีมบริหารเดอะมอลล์กรุ๊ปเขามองถึงปัญหานี้และมีวิธีการคิด เพื่อนำศูนย์การค้าดั้งเดิมให้อยู่รอดและเติบโตไปในอนาคตเพื่อบริการผู้บริโภคทุกกลุ่มทุกวัยในชีวิตสังคมยุคใหม่กันอย่างไร
“ศุภลักษณ์ อัมพุช” ประธานกรรมการบริหาร เดอะมอลล์กรุ๊ป มองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกระแสความนิยมเทคโนโลยีมีมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิดเหมือนกับสงคราม โลกครั้งที่ 3 ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจศูนย์ การค้าไม่ใช่เกิดแค่ประเทศไทย สงครามที่เกิดขึ้นมากับอากาศ บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกเช่น อเมซอนและอาลีบาบาบุกใช้เทคโนโลยีบุกตลาดช็อปปิ้งออนไลน์ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคไปทั่วโลก ยิ่งการแพร่ระบาดไวรัสโควิดมาเป็นตัวเร่ง การล็อกดาวน์ปิดเมืองปิดห้าง ทำให้ต้องเร่งปรับตัวธุรกิจบริการช็อปปิ้งนอกศูนย์หลากหลายรูปแบบ
“ศุภลักษณ์” กล่าวว่า เดอะมอลล์กรุ๊ปเปิดให้บริการมานานกว่า 39 ปี มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง โรคซาร์ส ไข้หวัดนก น้ำท่วม ปัญหาการเมืองหลายระลอก แต่ก็ยืนหยัดอยู่รอดมาได้ หากจะย้อนไปดูในอดีตตอนเริ่มดำเนินธุรกิจ ในประเทศไทยมีศูนย์การค้า 16 แห่ง เป็นของญี่ปุ่นถึง 10 แห่ง ตอนนี้เหลือแค่เซ็นทรัลกรุ๊ปกับเดอะมอลล์กรุ๊ปเท่านั้น
“ต่างชาติใครมาลงทุนก็สู้เราไม่ได้ เราทำได้ดี มีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก หากเทียบกับการเป็นปลา เราเป็นปลาที่ฉลาดและเร็ว ไม่ใช่เป็นปลาใหญ่ที่อาจตายง่ายอย่างปลาวาฬเกยตื้น เราเป็นคนแรกทำเดอะมอลล์ 1 สาขาราชดำริ ให้เป็น all in one retail entertainment ทำลานสเกตน้ำแข็ง ซึ่ง “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์” ก็แจ้งเกิดที่นี่ นั่นหมายความว่า การดึงคนเข้าห้างไม่ได้เข้ามาแค่ซื้อของ เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ การดึงคนเข้ามา มาเล่นสวนน้ำกัน ซึ่งไม่สามารถใช้สมาร์ทโฟนเข้าไปเล่นได้ เราต้องสร้างสิ่งที่ดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามา ตัวอย่างชัดหากดูสิงคโปร์ เขาสร้างแม่เหล็กหลายๆอย่างขึ้นมาดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดเวลา”
“ศุภลักษณ์” กล่าวว่า เดอะมอลล์กรุ๊ปต้องสร้าง Socialization เป็นสังคมที่ชุมชนเข้ามาใช้ชีวิตในศูนย์นี้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก ความสบาย ทันสมัย สวยงามให้ผู้คนพึงพอใจ ตั้งแต่ทางเข้าศูนย์ ป้ายรถเมล์ ที่จอดรถ ห้องน้ำ ที่นั่งพักผ่อนต้องใส่ใจรายละเอียดให้หมด มีทุกอย่างที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ เป็นไลฟ์สโตร์ที่มีนวัตกรรม ให้ประสบการณ์ใหม่ที่ผู้บริโภคเข้ามากับสิ่งที่เราสร้างขึ้น เช่น น้ำตก สวนน้ำ หรือแม้กระทั่งห้องน้ำผู้คนยังพูดถึงนี่ถึงจะสู้กับสมาร์ทโฟนได้ เพราะผู้คนไม่ได้อยู่กับสมาร์ทโฟนตลอดเวลา และ AI หรือหุ่นยนต์ในสมาร์ทโฟนที่มีความชาญฉลาดแต่ไม่มีหัวใจเราต้องใส่ความ Humannization นี่คือสิ่งที่ศูนย์การค้าจะสามารถอยู่ได้และจะเอาชนะเทคโนโลยีได้
โมเดลรีเทลใหม่ของเดอะมอลล์กรุ๊ป เริ่มที่สาขางามวงศ์วานก่อนต่อไปนี้จะไม่ใช่เป็นศูนย์การค้า ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า ไม่ใช่ฟอร์แมตที่ตายตัว เป็นชุมชนใกล้บ้านเป็นศูนย์รวมที่มีชีวิตโดยใช้งบปรับโฉมใหม่ทั้งหมด 4,000 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 3 แสนตารางเมตร ทำเลในเมืองกลุ่มเป้าหมายมีกำลังซื้อสูง บนแนวคิด “Green House” ปรับพื้นที่ระหว่างศูนย์ การค้าและห้างเชื่อมต่อกันแบบลงตัว ครบทุกสไตล์ทั้งการช็อปปิ้ง กิน เล่น เที่ยว ครบครันทั้งแบรนด์ระดับโลกและไลฟ์สไตล์ที่มีระดับ
และจะปรับอีก 3 สาขา ได้แก่ สาขาท่าพระ, บางแค และบางกะปิ ใช้งบประมาณ 20,000 ล้าน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2566
การรีแบรนดิ้งภาพลักษณ์ใหม่ครั้งสำคัญ ปรับเปลี่ยนสโลแกนเดิม “อภิมหาอาณาจักรทุกครอบครัว” ตอนนี้เชยไปแล้ว เป็น “ชีวิตที่มีความสุขทุกครอบครัว” ในยุคใหม่ โดยเริ่มมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 พ.ย. ไลฟ์สโตร์งามวงศ์วานของเดอะมอลล์กรุ๊ปก้าวขึ้นสู่ปีที่ 40 ต่อไป.
วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th