ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แผนฟื้นฟูกิจการของ บมจ.การบินไทยปี 63-67 ที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีการอนุมัติในหลักการเมื่อวันที่ 29 เม.ย.63นั้น การบินไทยได้เสนอแผนฟื้นฟู ได้กำหนด 3 ยุทธศาสตร์หลักคือ 1.ปรับโครงสร้างองค์กร ให้สอดคล้องกับกระบวนการทำงานใหม่กระชับขึ้นและมีสายการบังคับบัญชาสั้นลง กำหนดเวลาทำให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยกำหนดแนวทางดังนี้ 1.1 ปรับกระบวนการทำงาน โดยลดกิจกรรมที่ซ้ำซ้อน ล่าช้าไม่จำเป็น หรือไม่ก่อให้เกิดคุณค่า (Value) และเป็นการสูญเสีย (Waste), ควบรวมหน่วยงานที่มีงานซ้ำซ้อน และเพิ่มกระบวนการทำงานที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งกำหนดงานที่ทำแทนได้และมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า ด้วยการ Outjob 1.2 ศึกษาและกำหนดช่วงการควบคุม (Span of Control) ที่เหมาะสม 1.3 พิจารณาความเป็นไปได้ในการแบกหน่วยธุรกิจ เพื่อหารายได้อย่างเต็มรูปแบบ เช่น ฝ่ายครัวการบิน (DC) ฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์ (FZ) และฝ่ายช่าง (DT)
2.ด้านบุคลากร ตามแผนฟื้นฟูจะทบทวนกำลังคนให้สอดคล้องกับการบริหารประสิทธิภาพต้นทุนและกำลังผลิต โดย ณ 29 ก.พ.63 การบินไทยมีบุคลากร 21,332 คน มีวิธีการดังนี้ 1. ลดจำนวนพนักงานด้วยความสมัครใจ 2. ลดจำนวนพนักงานด้วยเกณฑ์ที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน 3. วิเคราะห์อัตรากำลังที่เหมาะสม หลังลดฝูงบินและปรับโครงสร้างองค์กร โดยลดพนักงานและรับพนักงานใหม่ทดแทนในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้มีบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 63 ทั้งนี้ การบินไทยต้องใช้งบฯ 8,850 ล้านบาท เพื่อลดพนักงานในประเทศ 5,867 คน ภายใน 3 ปี เป็นค่าใช้จ่ายปี 63 จำนวน 2,549 ล้านบาท โดยลดพนักงานในไทย 1,369 คน และต่างประเทศ 154 คน
3.แผนปรับประสิทธิภาพและค่าตอบแทน โดยให้ปรับสิทธิประโยชน์ผลตอบแทนให้พนักงานที่มีรายได้ทั้งหมดรับภาระภาษีเงินได้เอง, ทบทวนเกณฑ์และวิธีการคำนวณจ่ายค่าล่วงเวลา, ทบทวนสิทธิบัตรผู้โดยสารพนักงาน, ทบทวนประเภทและอัตราเงินเพิ่มพิเศษต่างๆ อาทิ License และอื่นๆ, ทบทวนสิทธิประโยชน์สำหรับพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำต่างประเทศ, ทบทวนสิทธิประโยชน์พนักงานเกษียณอายุ เป็นต้น โดยได้กำหนดเวลาให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอฝ่ายบริหารและบอร์ดการบินไทยเดือน พ.ย.นี้ กำหนดงบฯที่ใช้เพื่อจูงใจให้พนักงานยอมเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง มารับภาระภาษีเงินได้เอง 2,480 ล้านบาท และมีค่าที่ปรึกษาดำเนินการอีก 50-130 ล้านบาท.