ปี 63 คนไทยกระอัก! สารพัดสินค้าเกษตรจ่อขึ้นราคาหลังภัยแล้งทำผลผลิตเสียหาย ดันราคาพุ่งทั้งข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวเปลือกเจ้า มะนาว ผักสด รวมถึงเนื้อหมูและน้ำมันปาล์มขวด ยันเป็นผลดีกับเกษตรกร แม้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบแต่แค่ระยะสั้น ขณะที่กรมการค้าภายในเตรียมหามาตรการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนแล้ว ชี้เมื่อภัยแล้งคลี่คลายราคาจะกลับสู่ภาวะปกติ
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงปัญหาภัยแล้งขณะนี้ว่า คาดว่าจะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรหลายชนิดของไทยในปีนี้ได้รับความเสียหาย ผลผลิตลดลง และราคาปรับตัวสูงขึ้นได้ โดยเฉพาะข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว และข้าวเปลือกเจ้า ที่คาดว่าราคาข้าวเปลือกหอมมะลิน่าจะทรงตัวในระดับสูงที่ตันละกว่า 14,000-15,000 บาท ส่วนข้าวเปลือกเหนียวน่าจะยืนได้สูงกว่าตันละ 14,000 บาท ขณะที่ข้าวเปลือกเจ้าราคาน่าจะสูงถึงตันละกว่า 9,000-10,000 บาท จากปัจจุบันตันละประมาณ 8,000 บาท เพราะคาดว่าผลผลิตข้าวเปลือกนาปรังจะเสียหายเกือบครึ่งหนึ่งหรือจะมีผลผลิตเพียง 3.5-4 ล้านตันข้าวเปลือก จากปกติที่ประมาณ 8 ล้านตันข้าวเปลือก
นอกจากนี้ ยังจะทำให้ราคาผักสดปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน จากผลผลิตที่คาดว่าจะเสียหายจำนวนมาก โดยเฉพาะผักใบ รวมถึงมะนาว ที่คาดว่าปีนี้ราคาน่าจะสูงกว่าที่ผ่านมา จึงต้องการให้ผู้ที่ใช้มะนาวจำนวนมาก อย่างร้านอาหาร ภัตตาคาร เร่งซื้อมะนาวในช่วงนี้ที่ยังราคาต่ำมาแช่แข็งไว้ใช้ในช่วงหน้าแล้งนี้ สำหรับผลไม้สด อาจมีบางชนิดที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง แต่กรมได้หาแนวทางบรรเทาผลกระทบให้กับเกษตรกร และหามาตรการเชื่อมโยงจากแหล่งผลิตตรงสู่ผู้บริโภคไว้แล้ว
ส่วนเนื้อหมูคาดว่าราคาจะสูงขึ้นเช่นกัน จากอากาศร้อนทำให้หมูโตช้า และการเกิดโรคอหิวาต์แอฟริการะบาดในหมูในประเทศจีน เวียดนาม และลาว จึงทำให้ราคาหมูมีชีวิตในจีนปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 200 บาท เวียดนาม กก.ละ 120 บาท ขณะที่ไทยขณะนี้ยังอยู่ที่ไม่เกิน กก.ละ 75 บาท แต่กรมได้หารือกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้ว่า หากราคาเกินกว่า กก.ละ 80 บาท อาจมีมาตรการจำกัดการส่งออก เพื่อให้มีเนื้อหมูบริโภคในประเทศอย่างเพียงพอ และราคาไม่สูงมากจนเกินไป
“ราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น ถ้ามองในแง่เกษตรกรจะมีผลดีกับเขามาก เพราะเป็นกลุ่มที่เดือดร้อนมาโดยตลอด เพราะขายผลผลิตได้ราคาไม่คุ้มต้นทุน แต่ในแง่ของผู้บริโภค อาจได้รับผลกระทบในช่วงสั้นๆ ถ้าหน้าแล้งผ่านพ้นไป ราคาสินค้าเกษตรจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ถ้าราคาสินค้าแพงจากภาวะภัยแล้ง จะใช้ กลไกที่กรมมีอยู่ในการแก้ปัญหา เช่น ร้านธงฟ้า ที่มีอยู่กว่า 102,000 ร้านแห่งทั่วประเทศ โดยจะเชื่อมโยงนำผลผลิตจากแหล่งผลิตที่ไม่ได้รับความเสียหาย กระจายไปยังร้านธงฟ้าต่างๆ เพื่อให้ไปถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึงในราคาที่เป็นธรรม”
นายวิชัย กล่าวต่อถึงความกังวลของสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจกระทบต่อน้ำดื่ม จนอาจทำให้น้ำดื่มบรรจุขวดปรับขึ้นราคาขายว่า ขณะนี้สถานการณ์ราคาน้ำดื่มบรรจุขวดยังอยู่ในภาวะปกติ โดยยังขายอยู่ที่ขวดละ 5-10 บาท และเชื่อว่าภัยแล้งจะไม่รุนแรงจนทำให้ขาดแคลนน้ำมาผลิตน้ำดื่ม และดันให้ราคาต้องขยับขึ้น เพราะขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างพยายามเร่งแก้ปัญหา โดยเฉพาะการขุดบ่อน้ำบาดาล การหาแหล่งน้ำใหม่ๆ ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้ และไม่ทำให้ราคาน้ำดื่มต้องปรับขึ้นแน่นอน
ส่วนราคาปาล์มน้ำมัน ที่ขณะนี้ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยผลปาล์มสด กก.ละ 6-7 บาท จากปี 62 ที่ กก.ละ 2.50-3 บาท และน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอ) กก.ละกว่า 35 บาท จาก กก.ละ 16-18 บาทนั้น ได้ขอความร่วมมือผู้ค้าให้ปรับราคาขายให้สอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้น โดยราคาน้ำมันปาล์มขวดเพื่อการบริโภคขณะนี้ควรจะอยู่ที่ขวดละ 42-43 บาท เพื่อให้อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทยทั้งระบบอยู่ได้ โดยเฉพาะชาวสวนปาล์มที่เดือดร้อนจากการขายผลผลิตราคาต่ำมาหลายปีแล้ว ดังนั้น ปีนี้เมื่อราคาผลปาล์มสูงขึ้น ก็ควรให้โอกาสเกษตรกรบ้าง ซึ่งเชื่อว่าผู้บริโภคจะเข้าใจ และจะเป็นเพียงสถานการณ์ระยะสั้นเท่านั้น เมื่อราคาผลปาล์มสดลดลง ราคาน้ำมันขวดก็จะลดลงตาม อย่างไร ก็ตาม ผู้บริโภคอาจหันมาบริโภคน้ำมันพืชอื่นทดแทนได้ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันหมู เป็นต้น ที่ราคายังไม่ปรับขึ้น.