แนวรบเศรษฐกิจไทย ท่องเที่ยว...ไมซ์...SME

ผ่านพ้นไปแล้วกับหนึ่งในมหกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ “Smart SME Expo 2019” ที่เมืองทองธานี ผนึก 400 องค์กรรัฐ...เอกชนเข้าร่วม ด้วยสโลแกน “เสิร์ฟธุรกิจพร้อมทุน” โดยมี 12 สถาบันการเงินอัดแคมเปญดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจ

ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ น่าเป็นห่วงบรรดาพ่อค้าแม่ขายรวมไปถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี...สตาร์ตอัพ ที่ดูเหมือนจะไม่มีใครอยากดูแล แต่...อย่าลืมว่า “เอสเอ็มอี” คือ หัวใจของเศรษฐกิจประเทศ

หลายๆคนอาจจะเคยรู้มาบ้างแต่ดูเหมือนการพัฒนา “เอสเอ็มอี” ...จะไม่มีอะไรคืบหน้าสักเท่าไหร่ ความห่างชั้นระหว่างบริษัทใหญ่กับบริษัทเล็กๆยังคงมีให้เห็นมากมาย

พิสิษฐ์ ประกิจวรพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้จัดงานฯ สะท้อนว่า แนวคิดสำคัญคือ “ชี้ช่องรวย ที่เดียวจบพบทางรวย” เรียกว่า...เสิร์ฟธุรกิจพร้อมเงินทุน ติดอาวุธสนับสนุนการตลาดและการขายกันอย่างเต็มที่ ตัวอย่างธุรกิจเด่นๆน่าลงทุน อาทิ ตู้เติมน้ำมันออสซี่ ออยล์, ซีพี รีเทลลิงค์

ชายสี่หมี่เกี๊ยว, โรงงานรับผลิตเครื่องสำอาง ชาร์ม เนเชอรัล โปรดักส์, ลาลามูฟ, แอปจองคิว QueQ, Milk Land โดยไทยเดนมาร์ค ฯลฯ

ตัดฉากมาที่ภาค “การท่องเที่ยว” ที่มีการชูธงรบมาแต่ปี 2503 จะครบ 60 ปีในเร็ววันนี้ ก็เหมือนอยู่ท่ามกลางความเงียบมีแต่สายลมพัดผ่าน ต่างกับมาเลเซียที่ไปประกาศในงานท่องเที่ยวโลก ITB กรุงเบอร์ลิน สหพันธรัฐเยอรมนี ก่อนหน้า 2 ปี ให้รู้ว่า...ปี 2020 คุณปู่มหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรี จะจัดงาน “ปีท่องเที่ยวมาเลเซีย (Visit Malaysia year 2020)” กระตุ้นท่องเที่ยวตลอดปีหน้า

ย้อนไปในช่วงกำเนิดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ขณะนั้นยังไม่รู้จักวิธีใช้กลยุทธ์จ้างไทยเที่ยวไทยลุ้นโชคเงินล้านแบบยุคนี้ การบุกเบิกตลาดหัวใจอยู่ที่การหากลุ่มตลาดเป้าหมายซึ่งยังมีไม่มาก เช่น กลุ่มผู้สูงอายุหลังเกษียณซึ่งมีกำลังซื้อและเวลามากพอกับการท่องเที่ยว กลุ่มสนใจมาท่องเที่ยวพ่วงเล่นกีฬากอล์ฟ ดำน้ำ วินด์เซิร์ฟ เรือใบ ส่วนกลุ่มหนุ่มสาวนิยมแบ็กแพ็กเที่ยวเทรกกิ้งบนดอยภาคเหนือ สัมผัสธรรมชาติป่าเขาและชีวิตดิบๆคนบนดอย

อีกกลุ่มเป็นประเภทมีเป้าหมายมาจัดประชุมสัมมนาและนิทรรศการนานาชาติ รวมถึงกลุ่มจัดงานเลี้ยงหรือแสดงคอนเสิร์ต กระทั่งมีการตั้ง “สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)” ขึ้น ชื่อสั้นๆ “สสปน.” ภายใต้ชื่ออังกฤษ Thailand Convention & Exhibition Bureau-TCEB หรือ “ทีเส็บ”

ส่งเสริมการจัดประชุม (Meetings)...การท่องเที่ยวเป็นรางวัล (Incentives)...การประชุมนานาชาติ (Conventions) และจัดนิทรรศการ (Exhibitions) แล้วเรียกรวมกันว่า “ไมซ์” ซึ่งมาจากคำย่อ...“MICE”

จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผอ.คนล่าสุด สะท้อนมุมมองให้ฟังว่าไมซ์ไทยในประเทศปีที่แล้วมีสถิติอยู่ที่ 33,011,322 ราย ทำรายได้ 117,301 ล้านบาท จากปัจจัยรองรับคือศูนย์การประชุม โรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า ทั้งในกรุงเทพฯและไมซ์ซิตี้ภูมิภาคที่เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต และพัทยา

“ปีเดียวกันมีไมซ์ต่างชาติ 1,255,985 ราย โตขึ้น 19.85% ตลาดจีนสูงสุด 214,877 ราย อินเดีย 152,638 ราย มาเลเซีย 146,387 ราย รองลงมาเป็นสิงคโปร์ เกาหลี เวียดนาม และ สปป.ลาว ซึ่งแซงหน้าญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ทำรายได้ 95,623 ล้านบาท โตขึ้น 8.10% กลุ่มนี้พักเฉลี่ย 5 วัน อาจน้อยกว่าทัวร์ทั่วไป แต่มือเติบควักเงินจ่าย 76,135 บาทต่อคนต่อทริป”

ส่วน “ตลาดไมซ์กลุ่มมาแรง” คือ “แคนาดา” โตขึ้น 309.97% กัมพูชา 182.32% เวียดนาม 109.26% นิวซีแลนด์ 78.92% โดยกลุ่ม CLMV น่าสังเกตตรงโตเร็วอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากการเปิดประตูการค้าระหว่างประเทศกว้างขึ้นกว่าแต่ก่อนนั่นเอง และ...“ไมซ์ไทยปีนี้คาดว่าน่าจะขยับขึ้นเป็น 34,662,000 ราย ทำรายได้ 121,000 ล้านบาท ส่วนไมซ์ต่างชาติจะเพิ่มเป็น 1,320,000 ราย ทำรายได้ 100,500 ล้านบาท”

น่าสนใจว่า...ตัวเลขไมซ์ที่จิรุตถ์กล่าวถึงนี้ ขอบอก...เป็นสถิติต่างชาติเดินทางมาไทย และคนไทยเดินทางในประเทศเพื่อทำกิจกรรมไมซ์ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯนำมารวมไว้กับสถิตินักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ตลอดปี 2561 เป็นก้อนเดียวกัน โดยหาได้บวมโป่งขึ้นต่างหากจากไมซ์

วังวนกระตุ้นท่องเที่ยวไทยในภาพใหญ่ภาพเล็กยังคงเดินหน้าต่อไป ใคร? จะมองว่าไร้ทิศทาง ไร้เป้าหมาย ไร้ศักยภาพแบบวนๆเวียนๆชวนให้เวียนหัวก็ว่ากันไป แต่ในยุคสังคมดิจิทัล ธุรกิจ “สตาร์ตอัพ” เบ่งบานยังมีโครงการ “Bringing The New Shades Of Thailand to Nordic Travelers”

สำนักงานสตอกโฮล์มเห็นว่าเป็นโครงการที่มีศักยภาพสูงในการที่จะรักษาฐานตลาดนักท่องเที่ยวนอร์ดิก จึงริเริ่มโครงการนี้ขึ้น...

เอิบลาภ ศรีภิรมย์ ผอ.ททท.สำนักงานสตอกโฮล์ม บอกว่า โครงการนี้อยู่ภายใต้โครงการหลักในการเปิดมุมมองใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว โดยต้องการให้ผู้ให้บริการโรงแรม และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวรูปแบบต่างๆรวมถึงธุรกิจสตาร์ตอัพ สามารถนำธุรกิจของตนเองไปนำเสนอต่อกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวได้โดยตรง

“เป้าหมายของเรา คือ การเลือกกลุ่มธุรกิจสตาร์ตอัพมาเป็นเรือธงที่จะมาอุดช่องว่างต่างๆที่บริษัทนำเที่ยวและบริษัทผู้ให้บริการท่องเที่ยวไม่ทำ เช่น การจัดโปรโมชันที่เกี่ยวกับสนามกอล์ฟ หรือ โปรโมชันบุฟเฟต์ในร้านที่ไม่มีบุฟเฟต์ ซึ่งกลุ่มธุรกิจเหล่านี้มองเห็นช่องว่างต่างๆในตลาด

โดย ททท.จะเป็นคนนำกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ไปเปิดตลาดในกลุ่มประเทศนอร์ดิกเป็นการเปิดช่องทางใหม่ๆสำหรับนักท่องเที่ยวให้มีทางเลือก มีความสะดวกสบาย และที่สำคัญคือ...มีการใช้จ่ายในประเทศไทยมากขึ้น”

การเปิดรับ “สตาร์ตอัพไทย” ที่จะไปบุกตลาดนอร์ดิกด้วยกันในครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นธุรกิจประเภทใด เราต้องการเปิดรับสตาร์ตอัพจากทุกสายที่สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่จะตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศนอร์ดิกได้

สิ่งสำคัญ...สตาร์ตอัพที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ จะได้รับฟังข้อมูลการตลาดเชิงลึกของนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศนอร์ดิก เพื่อสามารถนำเสนอแพ็กเกจสินค้าและบริการได้ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มประเทศนอร์ดิก และจะได้รับข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายโดยตรง

เพื่อจะได้นำเสนอสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการด้วย

เกณฑ์ในการคัดเลือกสตาร์ตอัพเข้าร่วมโครงการ คือ สตาร์ตอัพที่สมัครเข้ามาจะต้องมี “สินค้า” และ “บริการ” ที่พร้อมจะให้บริการกับนักท่องเที่ยว...น่าสนใจ สามารถนำเสนอแพ็กเกจตรงกับความต้องการนักท่องเที่ยว และมีแพลตฟอร์มที่มีความสามารถในการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีปริมาณมาก

ให้เข้าใจตรงกันว่า...เป้าหมายหลักของโครงการนี้ไม่ได้เน้นเรื่องการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเพราะในกลุ่มประเทศนอร์ดิกมีประชากรราว 25 ล้านคน เป็นกลุ่มผู้ถือหนังสือเดินทาง 10 ล้านคน สัดส่วนถือว่าทรงตัว จะขยายให้ได้จำนวนเพิ่มขึ้นอาจจะได้ไม่มากนัก แต่คิดว่าจะใช้เครื่องมืออะไรที่ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

“สตาร์ตอัพไทย” พร้อมบุก “ตลาดนอร์ดิก” เปิดรับถึงวันที่ 14 ก.ค.2562 ผ่านทางเว็บไซต์ : www.innovatepartner.com/TATnordic  และเฟซบุ๊ก : https://www.facebook.com/ThaiStartup.Nordic