สุกฤษฎิ์ โชติจุฬางกูร ผู้บริหารอินดี้ เริ่มธุรกิจร้านอาหารกับเพื่อนด้วยความสุข

โอกาสเป็นของคนยุคนี้อยู่ที่กล้าที่จะลงมือทำ และมีไฟที่เต็มกำลัง อดทนไม่ท้อถอย หนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง อย่าง “สุกฤษฎิ์ โชติจุฬางกูร” เป็นคนหนึ่งที่มองเห็นโอกาสช่องทางความสำเร็จ จึงได้ก้าวเข้ามาสู่โลกธุรกิจในการเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร ด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่น เพราะชีวิตคือการเรียนรู้

ผู้บริหารหนุ่มอินดี้ “เอิ๊ก-สุกฤษฎิ์” เจ้าของร้านอาหาร Eatmosphere 2018 เล่าถึงการทำธุรกิจแรกในชีวิตว่า ร้านนี้เป็นการทำธุรกิจกับเพื่อนสนิท (ฉัตรธิป ด่านประสิทธิ์ผล) ซึ่งตนได้รู้จักกันตอนไปเข้าโปรแกรม work &travel ที่ประเทศสหรัฐฯ เป็นเวลา 3 เดือน หลัง จากที่เรียนจบบริหารธุรกิจ ภาคภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ พอกลับมาตนไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ 2-3 ปี แล้วออกไปเรียนภาษาจีน ที่เซี่ยงไฮ้ ส่วนเพื่อน เชฟหนุ่ย-ฉัตรธิป ก็ไปเรียนทำงานและทำงานเป็นเชฟ ที่นิวยอร์ก จนกระทั่งเชฟหนุ่ยตัดสินใจกลับมาเมืองไทย และได้มาเจอกัน จึงตัดสินใจมาร่วมกันเปิดร้านอาหาร Eatmosphere 2018 ที่ตั้งในสนามกอล์ฟเสรี บนถนนบรมราชชนนี ตลิ่งชัน ซึ่งเปิดได้ไม่ถึงปี

“สนามกอล์ฟเสรี เป็นธุรกิจกงสีของตระกูล พอมีพื้นที่ว่างเราเลยมาเปิดร้านอาหาร โดยตั้งใจให้เป็นร้านอาหารฟิวชัน ที่มีทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง เพราะเชฟถนัดอาหารอเมริกัน แล้วเขาพยายามหาวัตถุดิบเครื่องเทศแปลกมาใส่ในเมนู โดยร้านนี้เรามีหุ้น 3 หุ้น นอกจากนี้
เรายังมีธุรกิจแฟรนไชส์ “หมูแมน” หมูย่างที่มีซอสแตกต่างหลากรสชาติ ทั้งไทย, ฝรั่งและเกาหลี โดยธุรกิจหมูแมน เราทำกัน 5 คน
ในการทำธุรกิจของผมกับเพื่อนๆ เราจะแบ่งหน้าที่กันทำตามความถนัดเฉพาะทางของแต่ละคน ผมจะทำทางด้านการตลาดตามถนัด ซึ่งพอมาทำธุรกิจร้านอาหารจริงๆแล้ว รู้สึกสนุกกว่าที่คิด เราทำร้านอาหาร พอเห็นคนมารับประทาน ออกไปเขามีความสุข เราก็มีความสุขไปด้วย โดยร้านเราเปิดทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ เวลา 11.00-21.00 น. หรือไปดูได้ที่ Facebook: fb.com/eatmospherebkk  IG:# eat mospherebkk ครับ”

พอได้มาเป็นเจ้าของกิจการเองแบบนี้ “เอิ๊ก-สุกฤษฎิ์” บอกว่า พอมาทำธุรกิจตัวเอง ทำให้ตนต้องเปิดรับทุกอย่าง และคิดตลอดเวลา แม้งานจะมีความจุกจิก มีปัญหาแต่หุ้นส่วนเราล้วนเป็นเพื่อนกันก็คุยกันตรงๆ ได้เลย ตอนนี้เราเหมือนเพิ่งเริ่มต้น เราก็ต้องเรียนรู้กันไปอะไรที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง เราก็ต้องคุยกัน ยึดเอาผลประโยชน์ของงานเป็นหลัก ไม่ได้เอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง

“ในการทำงานผมจะให้ความสำคัญกับลูกน้อง อยากให้ธุรกิจอยู่ได้ ทำให้เขามีรายได้เลี้ยงครอบครัวเขา แล้วทำอย่างไรให้เขาส่งต่อความสุขนี้ให้แก่ลูกค้าของเราให้ได้”

ส่วนอนาคต หนุ่มไฟแรงคนนี้ วางแผนเอาไว้ว่า เมื่อสาขานี้อยู่ตัว มีหลักแน่นขึ้น คงจะมีการขยายสาขาไปอีก เช่นเดียวกับธุรกิจแฟรนไชส์ ที่ทำมาปีกว่า คงจะขยายต่อไปเรื่อยๆเช่นกัน.