“ภาคอุตสาหกรรม” หวังรัฐบาลใหม่ฟื้นเชื่อมั่นการค้าลงทุน แนะรัฐมนตรีใหม่ ตั้งใจทำงาน มีความชำนาญกระทรวงที่ดูแล และยอมฟังเสียงเอกชน ชี้ควรเร่งดูแลราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
“ภาคอุตสาหกรรม” หวังรัฐบาลใหม่ฟื้นเชื่อมั่นการค้าลงทุน แนะรัฐมนตรีใหม่ ตั้งใจทำงาน มีความชำนาญกระทรวงที่ดูแล และยอมฟังเสียงเอกชน ชี้ควรเร่งดูแลราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพิ่ม ด้าน “สุพันธุ์” ยันให้โอกาสคน ปชป.ดูแลเกษตร-พาณิชย์ แม้ผลงานที่ผ่านมาไม่น่าพอใจ
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ล่าสุดในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ดัชนีฯอยู่ที่ระดับ 95.9 เพิ่มขึ้นจากเดือน เม.ย.ที่อยู่ที่ระดับ 95.0 เพราะมีปัจจัยบวกมาจากการบริโภคในประเทศที่เติบโตขึ้น ซึ่งในเดือน พ.ค.มีปัจจัยที่เห็นได้ชัดจากการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของผู้ปกครอง ในช่วงเปิดภาคเรียน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม เช่น เสื้อผ้าชุดนักเรียน ชุดลูกเสือ รองเท้า ถุงเท้า รวมถึงธุรกิจการพิมพ์ เช่น สมุดหรือตำราเรียน, อุปกรณ์การเรียนการสอน
ขณะที่โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐยังส่งผลดีต่อสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง อาทิ เหล็ก หิน ปูนซีเมนต์ รวมทั้งยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ พัดลม เนื่องจากอากาศในเดือน เม.ย.-พ.ค. ที่ยังอยู่ในช่วงฤดูร้อนที่รุนแรง แต่ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อการชะลอตัวของการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ การชะลอตัวเศรษฐกิจโลก และการแข็งค่าของเงินบาท
“ในขณะนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงต้องยอมรับว่า ราคาสินค้าเกษตรของมีความไม่แน่นอนสูง ส.อ.ท.จึงอยากให้รัฐบาลชุดใหม่มีนโยบายดูแลสินค้าเกษตรให้มีเสถียรภาพ เพราะจากการลงพื้นที่ของ ส.อ.ท. พบว่าเกษตรกรยังได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ”
สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้า สมาชิก ส.อ.ท.ได้คาดการณ์ว่า ดัชนีฯจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 102.9 จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 101.9 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความหวังว่า เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อการค้าและการลงทุนของประเทศไทยใน 6 เดือนสุดท้ายของปีนี้ได้เพิ่มขึ้น
“จากการประเมินพบว่า การทำงานของรัฐบาลชุดใหม่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อมั่น ซึ่งต้องติดตามว่าจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศไทยได้มากเพียงใด เพราะขณะนี้ยังไม่เห็นหน้าตาหรือตัวบุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่งในกระทรวงต่างๆที่ชัดเจน แต่สิ่งสำคัญขอให้คนที่เข้ามาทำงานมีความตั้งใจจริงจังและมีความชำนาญในหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ หรือถ้าไม่ชำนาญก็ขอให้มีทีมงานเข้ามาช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้เห็นผลที่ดีขึ้นภายใน 6 เดือนด้วยความโปร่งใส รวมทั้งขอให้พร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอแนะของภาคเอกชนเพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกัน”
นายสุพันธุ์ยังกล่าวต่อถึงกรณีกระแสข่าวการวางตัวให้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เข้ามาดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ว่า ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เนื่องจากสมัยที่พรรค ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการทำงานกระทรวงเกษตรฯ และพาณิชย์เท่าที่ควร และหากกลับมาเป็นรัฐมนตรีใน 2 กระทรวงดังกล่าวจริง คงต้องให้เวลาในการพิสูจน์ฝีมืออีกครั้งหนึ่งว่าจะทำได้ดีเพียงใด รวมทั้งข่าวที่คาดการณ์ว่านายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ จากพรรคพลังประชารัฐ จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม ตนมองว่า นายสนธิรัตน์มีความคุ้นเคยและเคยทำงานกับภาคเอกชนมาก่อนน่าจะทำงานร่วมกันต่อไปได้ดีอยู่แล้ว
“รัฐบาลชุดใหม่ควรนำมาตรการด้านภาษีเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นๆ เช่น การยกเว้นค่าจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ มาตรการช็อปช่วยชาติ มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงจากปัจจุบันอยู่ที่ 32% และลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงจากปัจจุบันอยู่ที่ 20% เป็นต้น”.