กกร.ผวาการเมืองหลังเลือกตั้ง ส่อแววปั่นป่วน อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุน ปรับลดการเติบโตจีดีพีและการส่งออกลงจากเดิม ตามภาวะเศรษฐกิจโลกยังสั่นคลอน วิงวอนให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ รอให้ผ่านพ้นพระราชพิธีสำคัญของประเทศ และ กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งก่อน หากคลางแคลงใจผลนับคะแนน ให้ใช้ช่องทางตามกฎหมาย เพื่อพิสูจน์ความโปร่งใส ลุ้นได้รัฐบาลใหม่เดือน พ.ค.นี้
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย ส.อ.ท., สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า กกร. มีความเป็นห่วง และกังวลปัญหาการเมืองในประเทศที่ไม่มีความชัดเจน เนื่องจากหากมีปัญหาความไม่สงบ ลุกลามจนบานปลายเกิดขึ้น จะกระทบต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปได้ จึงเห็นว่าทุกฝ่ายควรรอให้ผ่านพ้นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการวันที่ 9 พ.ค.นี้ ก่อน หากพบว่ามีปัญหาประเด็นใด ค่อยมาเรียกร้องตามขั้นตอนตามกฎหมาย
ทั้งนี้ กกร.อยากเห็นทุกเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในความสงบ เพราะประเทศไทยกำลังจะมีพระราชพิธีสำคัญ จึงอยากให้ทุกฝ่ายถอยออกมาจากความขัดแย้ง และ กกร.อยากเห็นการฟอร์มทีมรัฐบาลให้เร็วสุดภายในเดือน พ.ค.นี้ เพราะหากยิ่งช้าจะไม่เป็นผลดี เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องขอย้ำ คือประเทศไทยต้องมีความสงบ
นอกจากนี้ กกร.ได้ทบทวนการประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยปรับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้ เหลือขยายตัวเพียง 3.7-4% จากเดิมขยายตัว 4-4.3% ขณะที่การส่งออก การขยายตัวจะเหลือเพียง 3-5% จากเดิมคาดว่าขยายตัว 5-7% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น โดยทั้งจีนและสหรัฐฯยังไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องสงครามการค้า รวมทั้งกรณีอังกฤษประกาศแยกตัว ออกจากสหภาพยุโรป (เบร็กซิต) ก็ยังไร้ข้อสรุป และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลต่อตัวเลขการส่งออกของไทย 2 เดือนแรกของปีนี้ ไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนการขยายตัวเงินเฟ้อ คาดว่ายังขยายตัวคงเดิมที่ 0.8-1.2%
“การปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นเรื่องของปัจจัยภายนอกและประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็ปรับลดการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด และ กกร.ยังไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยการเมืองของไทย เพราะยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป”
นอกจากนี้ กกร.ยังได้พิจารณาการทบทวนกฎหมาย โดยเฉพาะกฎกระทรวงของกระทรวงต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว แรงงาน ฯลฯ เพื่อที่จะได้เสนอให้กับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งระยะแรกจะมีทั้งสิ้น 301 กระบวนงาน และระยะที่ 2 มีอีก 308 กระบวนงาน หากมีการทยอยดำเนินการได้ ก็มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยระยะต่อไป
“กกร.ยังจะได้นำเสนอโครงการเนชันแนล ดิจิทัล เทรด แพลตฟอร์ม หรือแพลตฟอร์มสำหรับการนำเข้าส่งออกสินค้าของประเทศไทยในอนาคต รองรับโลกการค้าไร้พรมแดน ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกิจ โดยการให้ทุกหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ภาคการค้าบริการ การผลิต การ ธนาคาร การขนส่ง การประกันภัย มาร่วมกันจัดทำโครงการดังกล่าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออกของประเทศไทยในอนาคต เพราะโครงการดังกล่าวจะเป็นการรองรับการขยายตัวและอำนวยความสะดวก ด้านการค้าระหว่างประเทศ ทั้งเรื่องการนำเข้าและการส่งออก”
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ กกร.ได้มีการปรับลดประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจดังกล่าวลง กกร.ได้มองในเรื่องของปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน แม้มีท่าทีที่ดีขึ้น แต่ก็ยังตกลงไม่ได้ รวมถึงกรณีอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปหรือเบร็กซิต ที่ยังไม่ชัดเจน ที่อาจกระทบในเรื่องของตลาดทางการเงินได้ แต่ปัจจัยภายในประเทศก็ต้องรอความชัดเจนการเมือง ที่ต้องการให้มีการจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2563 เพื่อขับเคลื่อนเศษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความสงบเรียบร้อยของประเทศไทยในขณะนี้ เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน จึงอยากให้ทุกอย่างเดินไปตามกติกาของการเลือกตั้ง เพราะความสงบเรียบร้อยของประเทศต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ใครไม่เห็นด้วยต้องการเรียกร้องก็ต้องเดินไปตามกระบวนการของกฎหมาย ถ้าเห็นว่าไม่โปร่งใส ก็มีช่องทางที่สามารถดำเนินการตรวจสอบ เรียกร้องให้เปิดเผยด้วยความโปร่งใสต่อไป.