ไม่เลือกไม่ได้แล้ว! “เอกชน” ตั้งความหวัง “การเลือกตั้ง–รัฐบาลใหม่” หนุนเศรษฐกิจไทยโตพุ่ง–เชื่อมั่นเพิ่ม–หุ้นฟื้น ม.หอการค้าคาดปีนี้โต 4.2% เงินสะพัดเลือกตั้ง 8 หมื่นล้าน ขณะที่ค้าปลีกเตรียมเสนอ “บิ๊กตู่” ยกเครื่องภาษีการค้า–ท่องเที่ยว หนุนสะดวกลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2561 หัวข้อเรื่อง “เศรษฐกิจไทยกับการเลือกตั้ง” ที่จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ในช่วงสัมมนาความคิดเห็นของเอกชน นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความเห็นว่าจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศขณะนี้คือ การเลือกตั้งเกิดขึ้นเพื่อให้นโยบายและแผนงานต่างๆเดินหน้า แต่ก็ต้องติดตามปัจจัยภายนอกประเทศด้วย โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 4% โดยไตรมาสแรกเติบโตอยู่ที่ 3.5% จากนั้นขยับขึ้นเป็น 3.8% และขยับเพิ่มขึ้นจนถึง 4% จากการลงทุนของเอกชนหลังเลือกตั้ง ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญของเศรษฐกิจไทย
“ประเมินว่าจะมีเงินสะพัดจากการเลือกตั้ง ทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นมากกว่า 80,000 ล้านบาท โดยนำไปใช้ในการพิมพ์และการ โฆษณา การค้าส่งค้าปลีกสินค้า ภัตตาคารและร้านอาหาร ผลิตกระดาษ ผลิตน้ำมันปิโตรเลียมและอื่นๆ ซึ่งจะดันยอดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยได้ถึง 0.3%”
อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่าหลังการเลือกตั้ง การเมืองจะมีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน หากเป็นไปในทิศทางที่ดีก็จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยปี 2562 ขยายตัวได้ถึง 4.2% เพราะถ้าการเมืองหรือรัฐบาลมีเสถียรภาพ จะทำให้นักลงทุนต่างชาติมั่นใจและตัดสินใจลงทุนเพิ่ม ขณะที่ภาคธุรกิจในประเทศจะขยาย การลงทุนด้วย ครัวเรือนก็จะกลับมาจับจ่ายใช้สอยตามปกติ นักลงทุนในตลาดการเงินโลกก็มีความเชื่อมั่นและเข้ามาลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้
ขณะที่นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ภาคธุรกิจค้าปลีกไทยอยากเห็นการเลือกตั้ง เพราะหลายประเทศกำลังจับตามองประเทศไทยอยู่ โดยเฉพาะภาคธุรกิจค้าปลีกที่หลายๆประเทศ อยากเข้ามาลงทุน แต่สิ่งสำคัญอยากให้รัฐบาลใหม่เข้ามาดูแลและปรับเปลี่ยนในเรื่องของโครงสร้างภาษีต่างๆ ที่ไทยยังสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน หากโครงสร้างภาษีไทยปรับลดลงเชื่อว่าจะอำนวยความสะดวกให้หลายประเทศเข้ามาลงทุน กระตุ้นการค้าและการท่องเที่ยวของไทยให้สูงขึ้น เม็ดเงินจะไหลเข้าประเทศได้อีกจำนวนมหาศาล ดังนั้น ในฐานะภาคเอกชน วันที่ 18 ม.ค.นี้ เวลาประมาณ 10.00 น. สมาคมจะทำหนังสือยื่นให้กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลปรับอัตราภาษีทั้งระบบ ทั้งภาษีสรรพสามิต แวตรีฟันด์ รวมถึงแก้ปัญหาการผูกขาดดิวตี้ฟรีด้วย
“การเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้แค่ระยะสั้นเท่านั้น แต่ถ้าอยากให้มีผลระยะยาว ต้องแก้เรื่องโครงสร้างภาษี และหากทำได้จะทำให้จีดีพีเติบโตได้อีก 2% และรัฐบาลจะจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นอีกมาก”
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า นักลงทุน มีความคาดหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านๆมา จึงติดตามและจับตามองเป็นพิเศษ และหากไม่มีการเลือกตั้งตามกรอบเวลาที่ให้ไว้ จะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนระยะยาวหายไป และน่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาก
“ปัจจุบันนักลงทุนรอดูความชัดเจนว่าจะมีการเลือกตั้งจริงหรือไม่ และนโยบายที่ดำเนินการในรัฐบาลชุดนี้จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ดังนั้นเพื่อไม่ให้ความเชื่อมั่นหายไป รัฐบาลจะต้องทำให้เกิดการเลือกตั้งได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด ส่วนทิศทาง ตลาดหุ้นไทยนั้น ในช่วงการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆมาส่วนใหญ่จะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งนี้คาดการณ์ดัชนีหุ้นได้ยาก เพราะไม่มีความชัดเจนถึงวันเลือกตั้ง และแนวโน้มของพรรคการเมืองที่จะชนะได้เป็นรัฐบาล ทำให้เกิดการรอดูสถานการณ์ เห็นได้จากการชะลอการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นในขณะนี้”
อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยมีโอกาสที่ฟื้นตัวขึ้นจากปีที่แล้วสูงมาก หลายสำนักวิเคราะห์ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้จะยืนได้ที่ 1,800 จุด เพียงแต่ขอให้การเมือง การเลือกตั้งสงบเรียบร้อย และหลังได้รัฐบาลชุดใหม่ หากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอีอีซี หรือแม้แต่แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเป็นไปตามที่วางไว้ก็จะเป็นผลดีมาก.