
เฮงเค็ล เปิดกลยุทธ์พัฒนาองค์กรสู่ 4.0 เพื่อเสริมความสัมพันธ์กับคู่ค้าและผู้บริโภค ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายทั่วโลกจากช่องทางดิจิตอล 1.47 แสนล้านบาท ภายในปี 2563 ในธุรกิจเทคโนโลยีกาวและบิวตี้แคร์...
นายอีริค อีเดลแมน ประธาน บริษัท เฮงเค็ล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าประเทศไทยถือเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีความสำคัญต่อเฮงเค็ลมาก ด้วยกลุ่มคนชั้นกลางและกำลังซื้อที่กำลังขยายตัว ในปีนี้บริษัทจึงมุ่งสร้างการเติบโตด้วยการปรับธุรกิจเข้าสู่ดิจิตอล โดยให้ความสำคัญกับคู่ค้าและผู้บริโภค รวมถึงเพิ่มนวัตกรรมและสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในระยะยาว
จากเป้าหมายที่จะสร้างยอดขายบนช่องทางดิจิตอลให้เพิ่มขึ้นเท่าตัวภายในปี 2563 ทำให้เฮงเค็ลต้องเร่งเดินหน้าพัฒนาระบบดิจิตอลภายในองค์กรทั้งหมด โดยมีการฝึกอบรมให้พนักงานมีความคุ้นเคยและใช้ช่องทางออนไลน์ในการสื่อสารและกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการทำงาน
เฮงเค็ล ประเทศไทย เริ่มปรับโฉมองค์กรสู่ความทันสมัยมากขึ้น เช่น นำระบบจัดการ POD มาใช้เพื่อให้ข้อมูลและบริการด้านกาวแก่ลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในแบบเรียลไทม์ รวมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชัน House of Color บนสมาร์ทโฟนทั้งแอนดรอยด์และ iOS เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจบิวตี้แคร์ โดยแอปดังกล่าวจะอัพเดตข้อมูลเทรนด์ผมล่าสุดแก่ช่างผมและแฮร์สไตลิสต์ รวมทั้งให้คำปรึกษากับลูกค้าแบบตัวต่อตัว
เฮงเค็ล ยังลงทุนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในสายการผลิตในไทย โดยใช้ดิจิตอลและอุตสาหกรรม 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ จนประสบความสำเร็จในการนำแนวคิด Smart Factory หรือโรงงานอัจฉริยะมาใช้ในโรงงานที่บางปะกง นอกจากนี้ยังร่วมกับพันธมิตรในการเปิดศูนย์ฝึกอบรมและบริการซ่อมบำรุงเครื่องจักรอุตสาหกรรม 2 แห่งที่ระยอง เพื่อเสริมการให้บริการโซลูชั่นกาวที่ปัจจุบันเฮงเค็ลเป็นผู้นำในตลาดทั่วโลก
ในปี 2560 เฮงเค็ลยังเข้าซื้อกิจการของดาเร็กซ์แพคเกจจิ้ง เทคโนโลยี ทำให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจไปสู่การผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม อาหาร และกระป๋องสเปรย์ ด้วยโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมบางปู ส่วนในฝั่งธุรกิจบิวตี้แคร์ เฮงเค็ล เข้าซื้อกิจการโซโตส อินเทอร์เนชั่นแนล อิงค์ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จึงได้เพิ่มแบรนด์จอยโก้ และโซโตสโพรเฟสชั่นแนล ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มช่างผมและแฮร์สไตลิสต์มืออาชีพเข้ามาในพอร์ทโฟลิโอ
นายอีริค กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกบิวตี้แคร์ ถือเป็นตลาดที่มีความคึกคัก เนื่องจากคนไทยมีความต้องการสินค้าที่แปลกใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมและจัดแต่งทรงผมมีการขยายตัวที่ดี โดยมีบริษัทมีสินค้าในตลาดที่ค่อนข้างหลากหลาย เช่น ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม Freshlight Milky และ Foam ที่ร่วมพัฒนากับแฟชั่นดีไซเนอร์ระดับโลก สำหรับผู้หญิงทันสมัย
นายอีริคกล่าวว่า เราจะเดินหน้าสานต่อความสำเร็จในประเทศไทยในทั้งสองกลุ่มธุรกิจ ด้วยเป้าหมายที่จะผลักดันธุรกิจให้เข้าสู่ดิจิทัล 4.0 อย่างสมบูรณ์แบบ และใช้ระบบต่างๆ ที่เอื้อต่อการผลิตแบบ 4.0 ภายในปี 2563
ทั้งนี้ปัจจุบัน เฮงเค็ล มีธุรกิจในประเทศไทย 2 ธุรกิจ คือ เทคโนโลยีกาว ซึ่งมีแบรนด์หัวหอกอย่าง Loctite และ Technomelt และธุรกิจบิวตี้แคร์และผลิตภัณฑ์ด้านเส้นผม นำโดยแบรนด์ชวาร์สคอฟ และไซออส ในด้านการผลิต เฮงเค็ล มีโรงงานผลิตกาว 2 แห่ง ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดชลบุรี และอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ และมีโรงงานของธุรกิจบิวตี้แคร์ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในจังหวัดชลบุรี โดยผลิตสินค้าหลักคือผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม
นอกจากนี้เฮงเคล็ดได้รายงานยอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ 5,143 ล้านยูโร ในไตรมาส 2 ของปี 2561 โดยมีการเติบโตทั่วโลก 3.5% หลังจากธุรกิจสินค้าผู้บริโภคในอเมริกาเหนือกลับมาให้บริการได้ตามปกติ และกำไรจากการดำเนินงาน ทำสถิติใหม่เป็น 926 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
นอกจากนี้บริษัทได้ปรับคาดการณ์การเติบโตของธุรกิจปี 2561 ใหม่ เพื่อให้สะท้อนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากค่าเงินที่ผันผวนและราคาวัตถุดิบสูงขึ้น โดยคาดว่ายอดขายของทุกธุรกิจจะเติบโต 2-4% ในปีนี้ ส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเติบโตราว 18% และส่วนกำไรต่อหุ้นเติบโต 3-6%