6 รายชิงดำประมูลแหล่งปิโตรเลียม

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ รองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบกำหนดสำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูล 2 แหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยคือแหล่งบงกชและเอราวัณ ต้องมายื่นแสดงเจตน์จำนงเข้าร่วมประมูล ปรากฏว่ามีผู้มายื่นรวม 6 รายประกอบด้วย บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน), บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม จำกัด, บริษัท เชฟรอน (ประเทศไทย) สำรวจและผลิต จำกัด, บริษัท โททาล อี แอนด์พี ไทยแลนด์ จำกัด, กิจการร่วมค้าพลังงานสะอาด 101 ร่วมกับบริษัทไห่เฉิน ปิโตรเลียม แมชชีนเนอรี่ จำกัด และบริษัทอัลจาเบอร์ กรุ๊ป ส่วนรายสุดท้ายคือ บริษัทโอเอ็มวี แอคเทียนวีเซลสคาฟท จำกัด

นายสราวุธกล่าวว่า การที่มีผู้มาร่วมแสดงเจตน์จำนงดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าว เป็นแหล่งที่มีศักยภาพที่นักลงทุนให้ความสนใจ การลงทุนทั้ง 2 แหล่งนี้ คาดว่าจะทำให้เงินลงทุนใน 10 ปี หลังจากหมดอายุสัมปทานในปี 2565-2566 จะมีเม็ดเงินรวม 1.2 ล้านล้านบาท สร้างรายได้แก่ประเทศ 2.1 ล้านล้านบาท สร้างกำไร 900,000 ล้านบาท ในส่วนนี้คาดว่าจะเป็นรายได้ของรัฐไม่ต่ำกว่า 700,000 ล้านบาท และที่สำคัญเงื่อนไขการประมูลที่กำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำ 10 ปี การให้น้ำหนัก 65% จากการพิจารณาราคาก๊าซธรรมชาติที่ไม่สูงเกินจากราคาปัจจุบัน ยังทำให้ เกิดความมั่นคงด้านพลังงานและต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำ เป็นผลดีต่อประชาชน

นายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหารเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า มั่นใจว่าจะชนะการประมูลแน่นอน โดยเชฟรอนมีความมุ่งมั่นที่จะลงทุนในไทย แต่ถึงแม้จะไม่ชนะประมูล ก็ยังลงทุนต่อไปเนื่องจากยังมีแหล่งอื่นๆที่มีสัญญาผลิตต่อเนื่อง ปัจจุบันเชฟรอนมีพนักงานเป็นคนไทย 90% จากพนักงานรวม 2,600 คน สำหรับเงื่อนไขสำคัญที่ต้องมีเงินทุนหมุนเวียนแหล่งเอราวัณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และบงกช 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทางบริษัทแม่เชฟรอน ที่สหรัฐฯพร้อมสนับสนุน

นายราเชด อัล บลูชิ กรรมการผู้จัดการมูบาดาลา ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทแม่ของบูบาดาลา คือ Mubadala Investment Company (MIC) มีรัฐบาลอาบูดาบีถือหุ้นทั้งหมด มีประสบการณ์ลงทุนทั่วโลก มีความเข้มแข็งทางด้านการเงิน จึงมั่นใจในการแข่งขันประมูลครั้งนี้ แต่จะยื่นประมูลร่วมกับรายอื่นหรือไม่ ขอศึกษาข้อมูลทั้งหมดก่อน.