"ฮิตาชิ" แบรนด์ยักษ์ใหญ่จาก "แดนปลาดิบ" เปิดตัวงาน "Hitachi Social Innovation Forum 2017" ณ กรุงโตเกียว เมื่อต้นสัปดาห์ของเดือนพฤศจิกายน ได้แบบอลังการงานช้าง ขนผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ในเครือฮิตาชิทั่วโลก มุ่งหวังเพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สู่เป้าหมายดั่งคำที่ว่า "เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น" เพื่อคน เพื่อโลก ในการพัฒนาลดช่องว่างระหว่างคน โดยนำโซเชียล 5.0 มาประยุกต์ในการพัฒนาประเทศเพื่อลดการทำลายสิ่งแวดล้อม ทำให้คนมีอายุที่ดีขึ้น โดยใช้ดิจิตอลเพื่อพัฒนาสังคม
โดยนำสื่อมวลชน เจ้าหน้าที่ ตัวแทนบริษัทในเครือ ตะลุยถึงกรุงโตเกียว เพื่อรับฟังแผนงานอนาคตของ "ฮิตาชิ" ที่จะนำธงนวัตกรรมใหม่ก้าวเดินในยุค IOT สร้างโลก เชื่อมโยงระหว่างบิ๊กดาต้ากับปัญญาประดิษฐ์ AI เพื่ออำนวยความสะดวก ตามกรอบเป้าหมายที่วางไว้ หากพัฒนา 17 สิ่ง รวมทั้งพัฒนาสังคมสู่ยุค 5.0 แล้วโลกจะสดใส ชีวิตมนุษย์จะสะดวกและดีขึ้น
ซึ่ง นายโตชิฮากิ ฮิกาชิฮารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ฮิตาชิ ประเทศญี่ปุ่น ในฐานะแม่ทัพใหญ่ของฮิตาชิ เป็นผู้นำเสนอก้าวใหม่ของบริษัท ที่จะนำโลกสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ขึ้นเวทีตอบโจทย์สังคมยุคอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง แบบ IOT สร้างโลก
พร้อมกับงัดแพลตฟอร์ม นำเทคโนโลยี AI เปิดตัว "Lumada" สร้างโซลูชั่นตอบโจทย์ทุกธุรกิจ อุตสาหกรรม โดยเตรียมหลักปักฐานให้ประเทศไทยเป็นตลาดหลักของเอเชีย ในการต่อระยะไปยังประเทศกลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงเอเชียตะวันออกกลาง ภายใต้การผสานรวมเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ในกลุ่มโซลูชั่นของบริษัท ฮิตาชิ ที่ได้รับการยอมรับในตลาด หวังให้ Lumada กลายเป็นฟังก์ชั่นการทำงานครอบคลุม และมาพร้อมสถาปัตยกรรมแบบเปิดที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ทำให้การสร้างและปรับแต่งโซลูชั่น IOT เป็นเรื่องง่าย
โดยแพลตฟอร์มนี้เป็นการรวมความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการดำเนินงาน และเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ผสานการจัดระเบียบข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบสตรีมมิ่ง ระบบการจัดการเนื้อหาอัจฉริยะ พร้อมปรับเปลี่ยนธุรกิจองค์กรเป็นระบบดิจิทัล หรือ Digital Transformation ถือเป็นแนวทางที่สำคัญสำหรับภาครัฐและเอกชนที่ต้องการปรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและครอบคลุมรอบด้าน
ในส่วนของประเทศไทย ที่ "ฮิตาชิ" หมายมั่นปั้นมือให้เป็นฐานการตลาด 'เครื่องเอทีเอ็ม' หรือ 'ตู้ ATM' และ 'ลิฟต์ - บันไดเลื่อน' ที่หวังเข้ามาเจาะตลาดในกลุ่มนี้ รวมถึงการบริการหลังการขาย และการดูแลครอบคลุมในทุกด้าน โดยตู้เอทีเอ็มฮิตาชิ ได้นำลูมาด้ามาใช้หลายด้าน ช่วยธนาคารประหยัดต้นทุนได้มาก โดยบริษัท "ฮิตาชิ-ออมรอน เทอร์มินอล โซลูชั่นส์" ประเทศญี่ปุ่น ถือมีส่วนแบ่งอันดับ 1 ของเครื่อง Cash Recycle Machine (CRM) หรือตู้ที่ถอนฝากเงินในตู้เดียว ผ่านระบบคัดกรองตรวจสอบและประมวลผล ย่นเวลานำเงินสดไปสำรองใส่ตู้ ประหยัดต้นทุนค่าขนส่ง ค่าบริหารเงิน มีระบบรักษาความปลอดภัย ป้องกันธนบัตรปลอม รวมทั้งพยากรณ์การใช้เงินได้ล่วงหน้า
ขณะที่ นายเคอิตะ ทาดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิตาชิ เทอร์มินอล โซลูชั่นส์ ประเทศไทย กล่าวว่า เครื่องเอทีเอ็มในไทย 1 หมื่นตู้ เป็นของฮิตาชิ 8,000 ตู้ ยอดขายตู้ CRM แต่ละปีเพิ่มขึ้น 10-15% และคาดว่าจะยังเพิ่มขึ้น แม้มีนโยบายลดการใช้เงินสด เพราะคิดว่าอีกนานกว่าจะเดินไปสู่จุดนั้น เพราะการตลาดตู้เอทีเอ็มมีโอกาสเติบโตจากหลายปัจจัย ทั้งมาตรการลดจำนวนสาขาของธนาคาร ทำให้ต้องเสริมตู้หรือเครื่องเอทีเอ็มแบบรุ่นใหม่เข้าไปแทนที่ เพื่อนำนวัตกรรมที่สะดวกทั้งการถอน ฝาก ในเครื่องเดียวกัน รวมถึงระบบความปลอดภัย โดยภายในเครื่องสามารถหมุนเวียนเงินในตู้ได้เอง ซึ่งเป็นจุดขายของฮิตาชิ ที่เชื่อว่าธนาคารต่างๆ ในประเทศไทยต้องหันมาใช้ทดแทนสาขาที่กำลังลดหายไป เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีแบบฟินเทค ถือเป็นการตอบโจทย์สังคมไร้เงินสด โดยฮิตาชิตั้งเป้าการขายในตลาดเมืองไทยจะเพิ่มขึ้น 30%
ด้านนายฮิโรชิ ซาโต รองประธานอาวุโสและเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจระบบการก่อสร้าง บริษัท ฮิตาชิ ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า การนำ "ลิฟต์" - "บันไดเลื่อน" มาปักหลักลงฐานตลาดธุรกิจยังประเทศไทย เพื่อแย่งชิงการตลาด หวังกลับมาเป็นหมายเลข 1 จากธุรกิจดังกล่าว เพราะธุรกิจ "ลิฟต์" ถือเป็นธงหลัก 1 ใน 3 ที่มียอดขายเกิน 9 พันล้าน โดยปี 2561 โกยเงินเข้าบริษัทกว่า 585.8 ล้าน ขณะเดียวกันก็ยังมุ่งเน้นไปที่ตลาดในประเทศจีน อินเดีย โดยมีบริการขายและหลังการขาย การซ่อมบำรุงที่บริษัทอื่นไม่มีให้ เพราะตลาดที่จีน รัฐบาลจีนให้การสนับสนุน IOT และ 5.0 และคาดว่าจะแย่งตลาด ณ ที่นี้ได้ เช่นเดียวกับไทย และตะวันออกกลาง
โดยจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางที่จะขยายไปประเทศรอบๆ จากบริเวณรอบๆ ลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงการตั้งศูนย์เทรนนิ่ง ฝึกให้พนักงานมีคุณภาพ เพราะลิฟต์ของฮิตาชิจะมีการดูแลทั้งระบบ ทั้งตัวอาคาร โดยปัจจุบันสนามบินของไทยก็ใช้บันไดเลื่อนและลิฟต์ของฮิตาชิทั้ง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง
"ตลาด ลิฟต์ บันไดเลื่อน ในประเทศไทย ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่ได้ขยายเครือข่ายขนส่งระบบรางในไทย และการพัฒนาพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ จะทำให้เกิดอาคาร และห้างสรรพสินค้าใหม่ๆ โดยคาดว่าปี 2561 ฮิตาชิ จะมีส่วนแบ่งการตลาด 19% คาดว่าจะขายได้ 5,300 เครื่อง จากภาพรวม 2,510 เครื่อง ถือเป็นอันดับ 2 รองจาก มิตซูบิชิ ที่ครองตลาด 30% โดยฮิตาชิจะเน้นกลยุทธ์ดึงนวัตกรรมอย่างระบบ "อินเวอร์เตอร์" ช่วยประหยัดพลังงาน และปรับความเร็วบันไดเลื่อนตามอัตโนมัติ รวมถึงโซลูชั่นการบำรุงรักษาแบบครบวงจร พร้อมกับจับมือธุรกิจอื่นๆ เพื่อเพิ่มตลาด อาทิ "สุวรรณภูมิเฟส 2" และ "หอคอยกรุงเทพ" ที่จะสร้างเสร็จปี 2020
รวมถึงการจัดศูนย์ฝึกอบรมแห่งเอเชียของฮิตาชิ จังหวัดชลบุรี ที่เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2560 โดยศูนย์ฝึกอบรมแห่งเอเชียเป็นพื้นที่ฝึกวิศวกรที่มีหน้าที่ดูแลธุรกิจลิฟต์และบันไดเลื่อนในภูมิภาคเอเชีย จะฝึกเน้นไปด้านการติดตั้ง ทักษะการบำรุงรักษา และมาตรการควบคุมความปลอดภัยของลิฟต์และบันไดเลื่อนของฮิตาชิในภูมิภาคเอเชีย จะส่งเสริมวิศวกรในระดับกลางที่มาจากประเทศในเอเชีย และรับประกันคุณภาพและความปลอดภัยที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นความเร่งด่วนอย่างที่สุดของฮิตาชิ
โดย "ฮิตาชิ" และระบบการก่อสร้างของฮิตาชิจะใช้โอกาสนี้ในการเพิ่มระดับการติดตั้ง และขั้นตอนการบำรุงรักษาลิฟต์และบันไดเลื่อนในภูมิภาคเอเชีย ไปพร้อมๆ กับเร่งการพัฒนาวิศวกรต่อไป "บริษัทฮิตาชิ" และ "บริษัทฮิตาชิ บิวดิ้ง ซิสเต็มส์" มีศูนย์พัฒนาทรัพยากรบุคคลในเขต Adachi-ku ของกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกอบรมครบวงจร เพื่อฝึกและเสริมสร้างวิศวกรที่ดูแลด้านลิฟต์และบันไดเลื่อน ศูนย์ยังให้การสนับสนุนการฝึกจริงโดยใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนที่มีรูปแบบและอายุแตกต่างกัน วิศวกรทั่วโลกได้รับการสนับสนุนตามแนวทาง ในขณะที่บริษัทท้องถิ่นในทวีปเอเชียของฮิตาชิฝึกวิศวกรด้วยตัวเอง และกระจายวิศวกรอาวุโสไปยังศูนย์พัฒนาทรัพยากรบุคคลในญี่ปุ่นเพื่อเข้ารับการฝึกขั้นสูง
"เมื่อมีการเปิดตัวลิฟต์แบบพื้นที่แคบที่ควบคุมโดยเครื่องจักรในภูมิภาคเอเชีย เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2559 ฮิตาชิ และ บริษัท ฮิตาชิ บิวดิ้ง ซิสเต็มส์ ตัดสินใจทบทวนแนวทางการฝึกอบรม และได้เพิ่มแนวทางหลายระดับ ซึ่งวิศวกรจะได้รับการอบรมตามลักษณะงาน และระดับทักษะ ศูนย์ฝึกอบรมแห่งเอเชียจึงจัดตั้งขึ้นภายใต้แนวทางการฝึกอบรมใหม่นี้ โดยเป็นสถานที่พัฒนาวิศวกรที่จะมีบทบาทหลัก ทางศูนย์ยังมีการฝึกอบรมระดับกลางให้แก่พนักงานหลักๆ ในแผนกเทคนิคของบริษัทในต่างประเทศ บุคคลที่มีบทบาทหลักจะเลือกมาจากวิศวกรที่ผ่านการฝึกอบรมเบื้องต้นที่บริษัทได้จัดให้"
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่ากลุ่มธุรกิจหลากหลายของฮิตาชิ ที่มีทั้ง ระบบโทรคมนาคม สารสนเทศ โครงสร้างพื้นฐานสังคม ชิ้นส่วนและวัสดุประสิทธิภาพสูง, บริการทางการเงิน, ระบบพลังงาน, ชิ้นส่วนและระบบไฟฟ้า, ระบบยานยนต์, ระบบรถไฟและเขตเมือง, สินค้าอุปโภคและสื่อดิจิทัล, เครื่องจักรกลงานโยธา และระบบและชิ้นส่วนอื่นๆซึ่งมีบริษัทในเครือทั่วโลกราว 960 บริษัท ใน 60 ประเทศ มีพนักงานรวมกันมากกว่า 335,000 คน มีผลประกอบการ 88,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในยุคดิจิทัล IOT ที่เรียกกันว่าอินเทอร์เน็ตเป็นทุกสิ่งนั้น ทางฮิตาชิได้ปรับตัวและคิดค้นนวัตกรรมรวมทั้งโซลูชั่นต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและตรงวัตถุประสงค์มากสุด รวมทั้งในแต่ละปีฮิตาชิได้ทุ่มเทเงินงบประมาณในการพัฒนาบุคลากร การวิจัยและพัฒนาจำนวนมาก เพราะในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การคิดค้น การสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ นั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสังคม เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น.