
มาเจาะลึกสาเหตุที่กรมศุลกากรจะเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าตั้งแต่บาทแรก ในวันที่ 1 ม.ค. 69 เมื่อการช่วย SME ไทยอาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายเพิ่ม
“ซื้อสินค้าจากต่างประเทศ บาทแรกต้องเสียภาษีฯ เริ่ม 1 ม.ค. ปี 69”
เมื่อภาครัฐจะเก็บสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ หลายคนกังวลว่า ผู้บริโภคหรือประชาชนทั่วไปจะเจอผลกระทบหรือไม่ Thairath Money ได้มีโอกาสพูดคุยกับ พันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร ที่จะมาเล่าเบื้องหลัง และสาเหตุที่ต้องใช้มาตรการนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 นี้
พันธ์ทอง เล่าว่า หลายประเทศรวมถึงไทยมีการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำที่จะไม่เก็บภาษีสินค้านำเข้า ตัวอย่างเช่น ไทยยกเว้นภาษีฯ ให้ของที่มูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท บางประเทศอาจกำหนดที่ 30 ดอลลาร์สหรัฐ, 30 ยูโร ฯลฯ
เพราะเดิมการส่งของระหว่างประเทศ เป็นการส่งของให้กัน ให้ของขวัญเพื่อน ฯลฯ ไม่ใช่การซื้อขายออนไลน์อย่างทุกวันนี้ที่จำนวนสินค้าพุ่งไปหลักร้อยล้านชิ้น มูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ที่สำคัญกว่าคือ ปัญหาสินค้าต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาตีตลาดในประเทศ ทำให้ผู้ผลิตสินค้า SME ทั้งหลายแข่งขันได้ยาก ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก
นี่เลยเป็นที่มาให้หลายประเทศพยายามลดขั้นต่ำที่จะไม่เก็บภาษีสินค้านำเข้า เช่น สหรัฐฯ รวมถึงไทยที่จะเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าตั้งแต่บาทแรก และจะเริ่มบังคับใช้ 1 ม.ค. 2569 นี้ เป็นมาตรการต่อเนื่องหลังจากเดือน ก.ค. ปี 2567 ที่ไทยเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% สำหรับของนำเข้าทุกห่อ
สาเหตุที่รัฐมองเรื่องการสร้างความเท่าเทียมให้กับ SME และคนค้าขายในประเทศก็เพราะคนกลุ่มนี้มักมีต้นทุนสูงกว่า ทั้งจากภาษีสินค้านำเข้า กรณี SME ที่เป็นผู้ผลิตเองในประเทศ ยังเสียภาษีนิติบุคคลอีก ต่างจากเจ้าของสินค้าในต่างประเทศไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม (ให้ฝั่งไทย) เมื่อคนกดสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ฯ ก็ส่งของตรงถึงหน้าบ้านเลย ไม่ต้องเสียภาษีฯ
ถ้าเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าตั้งแต่บาทแรก รัฐจะได้ภาษีเพิ่มแค่ไหน? คำถามนี้พันธ์ทอง ตอบว่า เฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ปีที่แล้ว (2567) มียอดนำเข้ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท ถ้าลองคำนวณอัตราภาษีเฉลี่ยที่ 10% (มีหลายเรทภาษีขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าตั้งแต่ 5 - 20%) ก็เป็นตัวเลขที่ 3,000 ล้านบาทแล้ว
ผลกระทบต่อธุรกิจ SME ไทยทั้งภาคการผลิตและค้าขาย ย่อมมีโอกาสแข่งขันได้มากขึ้น เพราะสินค้าต่างชาติมีต้นทุนสูงขึ้นใกล้เคียงกับสินค้าไทย เพราะต้องบวกต้นทุนภาษีเข้าไปในราคาขาย ทั้งนี้ทางกรมศุลกากรเข้าไปขอความร่วมมือกับแพลตฟอร์มขายของออนไลน์แล้ว ซึ่งไม่ได้แจ้งข้อขัดข้องใดๆ
ขณะที่ผลกระทบต่อ “ผู้บริโภค” พันธ์ทอง กล่าวว่า ในระยะแรกอาจจะเกิดความสับสนบ้าง แต่ยืนยันว่า คนซื้อตั้งแต่สั่งซื้อจนได้รับของถึงบ้านจะเหมือนเดิม ราคาสินค้าหน้าแอปฯ อาจจะสูงขึ้น แต่ไม่มีขั้นตอนให้ผู้บริโภคต้องวิ่งไปเดินเรื่องจ่ายภาษีเอง เพราะในทางปฏิบัติ กรมศุลกากรจะเก็บภาษีจากผู้นำเข้า (รวมถึงผู้รับขนสินค้า) เมื่อสินค้ามาถึงไทย ต้นทุนนี้ทางแพลตฟอร์มก็จะนำไปบวกในราคาขายหน้าเว็บไซต์ตั้งแต่แรกเพื่อเอาเงินส่วนหนึ่งมาชำระภาษี“ราคาที่ขายหน้าเว็บไซต์อาจจะมีราคาสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการในประเทศราคาจะขึ้นมาใกล้เคียงกัน เราก็อาจจะเลือกซื้อสินค้า สมมุติซื้อจากแพลตฟอร์ม L หรือ S เราก็ดูว่าอันหนึ่งในประเทศ อีกอันมาจากต่างประเทศ เมื่อก่อนเราดูว่ามาจากต่างประเทศราคาถูกกว่า รอได้ไหม ก็รอดีกว่า แต่ปัจจุบันเห็นว่ารอแต่ราคาเท่ากัน ก็ซื้อในประเทศ” พันธ์ทอง กล่าว
หลังจากวันที่ 1 ม.ค. ปี 69 นี้ กติกาการนำเข้าสินค้าต่างประเทศกำลังเปลี่ยนไป แล้วผู้บริโภคต้อง “ปรับตัว” แค่ไหน พันธ์ทอง เล่าว่า ผู้บริโภคไม่ต้องกังวลอะไร เพราะของยังส่งถึงบ้านเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือกลไกราคาที่จะสะท้อนต้นทุนที่ชัดเจนขึ้น และอยากให้คนไทยหันมาสนับสนุนสินค้าและร้านค้าของผู้ประกอบการไทย เพราะแม้สินค้าต่างประเทศจะอาจมีราคาต่ำ แต่สินค้าไทยยังได้เปรียบในเรื่องคุณภาพ และมาตรฐานอยู่ ที่สำคัญคือนโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับ SME ไทย
“คนอาจตั้งคำถามว่า ผลกระทบก็คือสินค้าที่มันแพงขึ้น เพราะสินค้ามันควรจะเสียภาษี ถามว่าสินค้ามาบริโภคในบ้านเราก็ต้องเสียภาษีบ้านเรา จริงๆ แล้วมันก็เกิดความเป็นธรรมกับผู้ค้าในประเทศ” และกล่าวต่อว่า “ถ้ากังวลว่าราคาของที่มาจากต่างประเทศจะสูงขึ้น เงินที่ได้มาก็เป็นเงินที่เข้ารัฐบาลมาพัฒนาประเทศชาติ”
[ ลิงก์ : https://youtu.be/zSgWqhrqls0?si=Y7UNv_El4aKdfFyJ ]
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney