
“ทองคำราคาทะลุ 60,000 บาท ซื้อตอนนี้ยังทันไหม?”
“ซื้อทองด้วยเงินบาทต้องเสียภาษี กระทบใคร?”
หลายคนอาจมีคำถามเหล่านี้ หลังจากเห็นข่าวคราวและราคา “ทองคำ” พุ่งทำ All Time High (จุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์) ต่อเนื่องหลายครั้ง จนต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาราคาทองคำทะยานเหนือ 60,000 บาทต่อบาททองคำไปแล้ว
Thairath Money มีโอกาสได้พูดคุยกับ “วรุต รุ่งขำ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ผ่านรายการ Thairath Money Night Stand EP.16 ที่จะมาตอบทุกคำถามที่หลายคนสงสัย ไม่ว่าจะเรื่องแนวโน้มราคาทองคำ, เงินบาทแข็งค่ากระทบทองแค่ไหน, การเก็บภาษีซื้อขายทองคำจะเกิดขึ้นแบบใด และถ้าจะซื้อทองเราต้องวางแผนแบบไหนดี
ทองคำพุ่งขึ้นไม่หยุดจนล่าสุด 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาทองคำแท่งขายออกอยู่ที่ 60,500 บาทต่อบาททองคำ เรียกว่าพุ่งสูงจนหลายคนสงสัยว่าทองคำราคาจะไปต่อได้ไหม
วรุต รุ่งขำ เปิดบทสนทนาด้วยคำว่า “ปีนี้ไม่ใช่ปีแรกที่ทองร้อนแรง ปีที่ผ่านมาคือปี 2024 (2567) ทองก็ขยับปรับขึ้นมาอย่างร้อนแรงเหมือนกัน ต้องบอกว่าขึ้นกันไม่รู้จักเหนื่อยเลย”
แน่นอนว่าปี 2568 นี้ Gold Spot หรือราคาทองคำในตลาดโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยทำ All Time High กว่า 30 ครั้ง อย่างช่วงวันที่ 23 กันยายนพุ่งแตะ 3,707 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากนั้นแม้บางช่วงจะมีแรงขายที่ทำให้ราคาปรับลดลงบ้าง แต่ราคาทองคำถือว่ายังทรงตัว และเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูง
อีกมุมที่น่าสนใจคือด้วยราคาที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ผลตอบแทนของทองคำอยู่สูงกว่า 40% เมื่อเทียบจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งผลตอบแทนของทองคำยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2567 ที่ผ่านมา ดังนั้นในระยะยาว YLG ยังมองแนวโน้มและเห็นโอกาสว่า “ทองคำ” จะปรับขึ้นต่อ สอดคล้องกับมุมมองของวาณิชธนกิจ* ระดับโลกอย่าง Goldman Sachs, JP Morgan ที่คาดการณ์ว่า ปี 2569 อาจเห็นราคาทองคำพุ่งแตะ 4,000 - 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สาเหตุหลักมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่
ท่ามกลางความเสี่ยงและความไม่แน่นอน ทองคำยังคงความน่าสนใจ โดยผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 20 ปีอยู่ที่ระดับ 7-9% ต่อปี ดังนั้น YLG ยังมองว่าระยะยาว “ทองคำ” ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกและให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อแล้วก็ชนะสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ
“ยิ่งความกลัว ความกังวลมากเท่าไหร่ หรือยิ่งมีข่าวลบ ข่าวเสี่ยงที่เขาคุยกันในตลาดมากเท่าไหร่ คนก็จะยิ่งกล้าซื้อทองคำ แล้วก็กล้าที่จะมองว่าราคาทองคำในปีหน้าจะขึ้นไปที่ระดับ 4,000-5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์”
แม้ราคาทองคำโลกจะพุ่งขึ้น แต่ย้อนมามองราคาทองคำในประเทศอาจไม่ได้พุ่งแรงเท่ากัน สาเหตุก็เพราะ “เงินบาทแข็งค่า” ซึ่งจากต้นปี 68 นี้ เงินบาทแข็งค่าทะลุ 7% ไปแล้ว
วรุต ย้ำว่าค่าเงินบาทแข็งค่าส่งผลกระทบต่อราคาทองคำแท่ง 96.5% ของไทย เพราะทุกๆ 10 สตางค์ที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น จะกดดันให้ราคาทองไทยปรับตัวลดลงประมาณ 120-130 บาทต่อบาททองคำ แม้ปีนี้บางช่วงจะเห็นราคาทองโลกจะบวกถึง 40% แต่ราคาทองไทยจะบวกได้ราว 30% ต้นๆ เพราะถูกเงินบาทที่แข็งค่ากดทับไว้ นี่จึงเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนคนไทยที่ซื้อทองคำในราคาทองไทยเอาไว้ค่อนข้างเสียเปรียบ
แต่กรณีเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น หลายฝ่ายมองว่าส่วนหนึ่งเกิดจาก ธุรกรรมการซื้อขายทองคำที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนบาทเป็นดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นเพื่อลดความผันผวนที่เกิดขึ้นนี้จึงเกิดข้อเสนอ “เก็บภาษีทองคำ” เมื่อซื้อขายทองผ่านเงินบาท เพื่อผลักดันให้ซื้อขายทองในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น ทว่าอาจส่งผลกระทบต่อลูกค้ารายย่อยที่ซื้อทองคำในรูปแบบของทองไทย (ซื้อขายเป็นเงินบาท)
อย่างไรก็ตาม มองว่าการเก็บภาษีทองคำมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้น เพราะต้องเจรจาและดูภาพรวมมาตรการที่จะออกมา ซึ่งหลังการพูดคุยอาจมีทางออกได้อีกหลายแบบ ตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อขายทองคำผ่านร้านทองก็อาจมีการยกเว้นหรือไม่เก็บภาษีนี้ หรือถ้าซื้อขายทองคำในรูปแบบของเงินดอลลาร์สหรัฐทางออนไลน์ก็จะไม่ถูกจัดเก็บภาษี เป็นต้น
ไม่ว่าราคาทองขึ้นหรือลง แต่วรุตมองว่า ทองคำมีโอกาสเติบโตในระยะยาวแต่ควรจัดแบ่งพอร์ตตามความรู้ความเข้าใจของแต่ละบุคคล หรืออาจเลือกตามสถานการณ์ของราคาทองก็ได้ ทั้งนี้ หากเราตั้งงบลงทุนทองคำที่ 100,000 บาท มี 2 กลยุทธ์มาแนะนำ ได้แก่
1. สำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้มีเวลาเฝ้าราคาทอง สามารถลงทุนแบบ DCA ทยอยลงทุนเป็นงวด ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน ด้วยเงินจำนวนเท่ากัน เช่น ซื้อทองเดือนละ 100 บาทสะสมไปเรื่อย ๆ
2. นักลงทุนอยากเทรด (ซื้อขาย) อาจแบ่งเงินออกเป็น 2 ส่วน ส่วนครึ่งแรกไว้เก็บสะสมในระยะกลางถึงยาว และครึ่งหลังอีก 50,000 บาท อาจเตรียมไว้สำหรับเทรดเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น
ถ้าถามว่าจะเข้าซื้อทองตอนไหนดี มีคำแนะนำว่ากรณีที่ราคาทองอ่อนตัวลง มีแนวรับแรกที่ควรเข้าซื้อทองคือ 3,500 - 3,470 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือราว 52,000 - 51,500 บาทต่อบาททองคำ และแนวรับสำคัญที่ควรคว้าเอาไว้อยู่ที่ 3,250 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือทองไทยราว 49,000 บาทต่อบาททองคำ
*วาณิชธนกิจ คือ บริการภายใต้สถาบันการเงิน เช่น การให้คำปรึกษาเพื่อระดมทุน เป็นต้น
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney