
ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายของเขาใหญ่ ทุ่งหญ้าเขียวขจี เสียงเพลงที่คุ้นหู ทำนองที่คุ้นเคย กับหลากหลายเวทีที่เล่นต่อเนื่องถึงสองวันสองคืน เข้าสู่ปีที่ 15 แล้ว เชื่อว่าในชีวิตคุณ คงมีสักครั้งแหละ ที่เคยไปเยือน…
เรากำลังพูดถึงเทศกาลดนตรีในไทย ชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้น "บิ๊กเมาน์เท่น มิวสิก เฟสติวัล" (Big Mountain Music Festival) หรือ BMMF ที่หลายคนเรียกติดปากว่า “มันใหญ่มาก” เทศกาลดนตรีที่อยู่คู่กับวงการเพลงไทยมาอย่างยาวนานกว่า 15 ปี
ซึ่งไม่ใช่แค่การรวมตัวของศิลปินชื่อดังมากมายไว้ในงานเดียว แต่คือการสร้างสรรค์ปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่ดึงดูดผู้คนกว่าหลายหมื่นชีวิตให้เดินทางไปรวมตัวกัน ณ ปากช่อง เขาใหญ่ ในทุกๆ ปี
ทั้งนี้ บิ๊กเมาน์เท่น มีจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2553 ที่รวมศิลปินไม่จำกัดค่ายและแนวเพลง กว่า 130 ศิลปิน บน 6 เวทีที่ดีไซน์ในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน กับการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้คนรักเสียงเพลงได้ใช้ชีวิตในเทศกาลดนตรีอย่างเต็มที่ ในครั้งนั้นเอง เราได้รู้จักกับ 25hours ในฐานะวงดนตรีหน้าใหม่จาก District 9 Stage หรือเวทีจานบิน ซึ่งล่าสุดได้กลายเป็นเเหล่งรวมชาวร็อกทั่วทุกสารทิศ
และหากจะกล่าวว่า “บิ๊กเมาน์เท่น” ไม่ได้เป็นเพียงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ แต่เป็นการเดินทางของเรื่องราว ความทรงจำ และพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดก็คงไม่ผิดเพี้ยนไปเสียทีเดียว แล้วการเดินทางตลอด 15 ปีของเทศกาลดนตรีแห่งนี้น่าสนใจอย่างไร? อะไรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ “บิ๊กเมาน์เท่น” ยังคงยืนหยัดและเติบโตอย่างมั่นคง ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรมดนตรีที่ถือเป็น Red Ocean
ในบทสัมภาษณ์พิเศษ Thairath Money จะพาทุกคนไปหาคำตอบกับเบื้องหลังความยิ่งใหญ่ที่ "มันใหญ่มาก" กว่าที่คิด ผ่านมุมมองของ “ป่านแก้ว สัตยาวุฒิพงศ์” Vice President-Showbiz Promoter บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน)
เริ่มแรก ป่านแก้ว เล่าให้ Thairath Money ฟังว่า เมื่อ 15 ปีก่อน วิสัยทัศน์ตั้งต้นของบิ๊กเมาน์เท่นคือการสร้างเทศกาลดนตรีที่รวมทุกอย่างไว้ด้วยกันให้ใหญ่และหลากหลายที่สุด เพื่อชวนผู้คนออกไปใช้ชีวิตในบรรยากาศ 2 วัน 2 คืนที่ปากช่องเขาใหญ่ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ในยุคนั้น ที่ยังไม่มีงานดนตรีที่รวมหลายเวทีและมีการตั้งแคมป์เกิดขึ้น ความท้าทายหลักคือการเป็น “ผู้บุกเบิก” ที่ต้องเรียนรู้และลองผิดลองถูกไปพร้อมกับผู้ชม เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนให้เกิดขึ้นจริง
สิ่งที่ทำให้บิ๊กเมาน์เท่นแตกต่างและเป็น จุดแข็ง มาโดยตลอดคือ “ความเยอะ และความใหญ่” เหมือนชื่อที่บอกไว้ ไม่ใช่แค่รวมดนตรีทุกแนว ทุกสไตล์ ทุกความชอบ แต่ยังรวมไปถึงเรื่องราวที่เป็นกระแสและสิ่งที่น่าสนใจในสังคม ณ ขณะนั้นด้วย ทำให้ บิ๊กเมาน์เทนไม่เคยตกยุค และผู้ชมจะได้เจอกับความแปลกใหม่ที่ไม่คาดไม่ถึง อย่างเช่นที่ผ่านมา มีการนำคณะหมอลำมาแสดงในเทศกาลดนตรีของกลุ่มวัยรุ่น
ในขณะที่วิวัฒนาการของกลุ่มเป้าหมายตลอด 15 ปีที่ผ่านมายังคงมุ่งเน้นไปที่ กลุ่มวัยรุ่น เป็นหลัก แต่ด้วยการที่แบรนด์อยู่มายาวนาน ทำให้มีกลุ่มวัยรุ่นยุคบุกเบิกที่เติบโตขึ้นตามไปด้วย ทีมจึงต้องจับกระแสและทำความเข้าใจความต้องการที่หลากหลาย ทั้งความชอบแบบเดิม ๆ ของแฟนเพลงรุ่นเก่า และความสนใจใหม่ ๆ ของเด็กรุ่นใหม่ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้ทุกคนในงาน
ทั้งนี้ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของเทศกาลดนตรีในปัจจุบัน (Red Ocean) ป่านแก้ว เล่าถึง กลยุทธ์การสร้างแบรนด์และการสื่อสารที่แข็งแกร่งของ GMM SHOW เพื่อให้ BMMF ยังคงโดดเด่นและสร้างความผูกพันกับฐานแฟนคลับให้แข็งแกร่ง "ไม่จม ไม่หาย ไม่ตาย ไม่จาก" ไปกับกระแส นั่นคือ การใช้ CRM (Customer Relationship Management)
ซึ่งถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ยั่งยืนยาวนาน ทีมงานจะมีการเก็บข้อมูลและความคิดเห็นจากผู้ชมอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากแบบสำรวจหลังงานและฟีดแบ็กต่าง ๆ เพื่อนำมาพัฒนาคุณภาพของงาน ประสบการณ์ และหาสิ่งใหม่ ๆ มาตอบสนองความต้องการของผู้ชมอยู่เสมอ
ขณะที่ ปัญหาการเก็งกำไรบัตร ป่านแก้ว มองว่า ตรงจุดนี้เสมือนกับเป็นมิจฉาชีพ อย่างหนึ่ง ซึ่งนับเป็นความท้าทายระดับโลก ทางบิ๊กเมาน์เท่นพยายามใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น การจำกัดจำนวนการซื้อต่อคน และการสร้างระบบให้ผู้ซื้อตัวจริงเข้าถึงบัตรได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันได้ 100% จึงอยากรณรงค์ให้ผู้ชมไม่ซื้อบัตรต่อในราคาแพง เพื่อเป็นการตัดวงจรการเก็งกำไรตั้งแต่ต้นทาง
“สำหรับแผนการขยายการเติบโตในอนาคตบิ๊กเมาน์เท่นไม่ได้เน้นการเพิ่มจำนวนคนให้มากขึ้น แต่จะเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพและประสบการณ์ของงานให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ทุกคนที่มาร่วมงานได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด โดยยังคงใช้เขาใหญ่เป็นสถานที่จัดงานหลักต่อไป เพราะเชื่อว่าการเติบโตที่ยั่งยืนคือการสร้างความประทับใจมากกว่าแค่จำนวนผู้เข้าร่วมงานที่มหาศาล”
นอกจากความสนุกสนานทางดนตรีแล้ว บิ๊กเมาน์เท่นยังสร้าง “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” ให้กับชุมชนเขาใหญ่อย่างมหาศาล ทั้งในแง่ของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และการจ้างงานรายวัน รวมถึงสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่อย่างแท้จริง เช่น การเปิดพื้นที่ลานกางเต็นท์ ลานจอดรถ หรือแม้กระทั่งการขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งทีมงานได้เข้าไปช่วยจัดระเบียบเพื่อให้คนในท้องถิ่นได้รับรายได้ที่เป็นธรรม
และถ้าให้สรุปว่าเมื่อนึกถึงบิ๊กเมาน์เท่นจะนึกถึงอะไร ป่านแก้ว บอกว่า นอกจากความใหญ่แล้ว สิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ ความกวนและคาแร็กเตอร์เฉพาะตัว ที่สอดแทรกอยู่ในทุกรายละเอียดของงาน ไม่ว่าจะเป็นธีม เวทีดีไซน์ หรือกิมมิกต่าง ๆ ที่สร้างสีสันและทำให้ผู้ชมจดจำแบรนด์นี้ได้เป็นอย่างดี
บิ๊กเมาน์เท่น จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เทศกาลดนตรีที่ “มันใหญ่มาก” แต่เป็นพื้นที่ที่เติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่ยังเต็มไปด้วยความแปลกใหม่และความประทับใจที่แตกต่างในทุก ๆ ปี และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เทศกาลนี้ยังคงอยู่ในใจใครหลาย ๆ คนมาตลอด 15 ปีเต็ม
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney