นายโสรัชย์ อัศวะประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า การเข้าประมูลและได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ (EPL) และเอฟเอคัพ จำนวน 6 ฤดูกาลใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา และลาว จะช่วยสร้างการเติบโตใหม่ (New S-Curve) ให้กับกลุ่มจัสมิน หลังจากที่ได้ขายธุรกิจบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งเคยเป็นธุรกิจหลักให้กับกลุ่มบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอสไปเมื่อเดือนพ.ย. 2567
“บรอดแบนด์เคยเป็นธุรกิจหลักของเรา กว่า 90% ของรายได้กลุ่มจัสมินหรือประมาณปีละ 10,000 ล้านบาทมาจากธุรกิจบรอดแบนด์ แต่เรารู้ตัวว่ากำลังนับถอยหลัง เพราะการลงทุนสูง การแข่งขันรุนแรง จึงตัดสินใจขายธุรกิจออกไป จัสมินจึงกลายเป็นธุรกิจโฮลดิ้งขนาดเล็ก จากเคยมีพนักงานเกือบ 10,000 คน ขณะนี้ลดเหลือราว 250 คน”
โดยธุรกิจที่ยังเหลืออยู่ ได้แก่ ธุรกิจให้บริการอินเตอร์เน็ตองค์กรและดาต้าเซ็นเตอร์, ธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ และ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ซึ่งมี KT (Korea Telecom) เป็นพาร์ทเนอร์ เป็นต้น ทำรายได้รวมอยู่ในระดับ 3,000 ล้านบาท “ตอนขายธุรกิจบรอดแบนด์ให้กับเอไอเอส กลุ่มจัสมินได้เงินมาประมาณ 32,000 ล้านบาท เอาเงินไปใช้หนี้เหลืออยู่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ทำให้เรามีสภาพคล่องและสามารถเข้าประมูลลิขสิทธิ์ EPL ได้”
ขณะที่ธุรกิจคอนเทนต์ภายใต้บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบด้วยช่องทีวีดิจิทัล MONO29 และธุรกิจวิดีโอออนดีมานด์ MONOMAX นั้น กลุ่มจัสมินไม่ได้ถือหุ้น แต่ทั้งจัสมินและโมโนมีผู้ถือหุ้นใหญ่คนเดียวกันคือนายพิชญ์ โพธารามิก บุตรชายของนายอดิศัย โพธารามิก อดีตรมว.พาณิชย์ ในฐานะผู้ก่อตั้งกลุ่มจัสมิน
ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอล EPL ของกลุ่มจัสมินเป็นสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว (Exclusivity right) ในการถ่ายทอดสดภาพและเสียงของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ 6 ฤดูกาลเต็มรูปแบบในไทย กัมพูชา และลาว ทั้งการถ่ายทอดสด รีรันและไฮไลต์ เริ่มตั้งแต่ฤดูกาลที่ 2025/26, 2026/27, 2027/28, 2028/29, 2029/30 และ 2030/31 มูลค่าลิขสิทธิ์รวม 559.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 19,167 ล้านบาท โดยฤดูกาลล่าสุดจะเริ่มในวันที่ 16 ส.ค. 2568
“โมเดลในการทำรายได้มาจากจำนวนผู้สมัครใช้บริการเท่านั้น สปอนเซอร์ชิปเป็นของแถม แม้ไม่มีสปอนเซอร์ก็ต้องไม่เจ๊ง จากการศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจที่ได้จากที่ปรึกษาหลายแห่ง เชื่อว่ายังมีช่องว่างอยู่อีกมากในการเพิ่มฐานลูกค้ามากกว่าที่เจ้าของลิขสิทธิ์เดิมทำได้”
ผลการศึกษาของกลุ่มจัสมินพบว่า มีคนไทยรับชมรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษประมาณ 6 ล้านคน เป็นการรับชมผ่านทรูวิชั่นส์ (เจ้าของลิขสิทธิ์ฤดูกาลก่อนหน้า) ประมาณ 1 ล้านคน จึงยังเหลือผู้ชมอีกจำนวนมากหรือราว 75% ที่อาจรับชมผ่านช่องทางไม่ถูกกฎหมาย โดยเป้าหมายปีแรก กลุ่มจัสมินต้องการจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 1 ล้านคนขึ้นไป ซึ่งเป็นตัวเลขที่จะทำให้บรรลุจุดคุ้มทุนได้
“ช่องทางรับชมหลักคือแพลตฟอร์มวิดีโอออนดีมานด์ Monomax เคาะราคาที่เดือนละ 299 บาทรับชมได้ทุกคอนเทนต์ โดยปัจจุบัน Monomax มีผู้ใช้งานอยู่ที่ 700,000 คน คาดหวังว่าจะเพิ่มผู้ใช้งานได้หลักล้านจาก EPL รวมทั้งจะออกอากาศผ่านฟรีทีวีช่อง MONO29 สัปดาห์ละ 1 แมตช์”
นอกจากการกำหนดราคาที่เข้าถึงง่ายเพื่อหวังขยายฐานผู้ชม EPL แล้ว กลุ่มจัสมินยังใช้กลยุทธ์เติบโตร่วมกับพาร์ตเนอร์ ได้แก่ กลุ่มเอไอเอส ซึ่งจะได้สิทธิถ่ายทอดสดแต่เพียงผู้เดียวบนแพลตฟอร์มของเอไอเอส โดยไม่ต้องรับชมผ่าน Monomax , แพลนบี พาร์ตเนอร์ด้านสปอนเซอร์ชิปทั้งหมด, สยามสปอร์ต ซึ่งเข้ามาช่วยด้านทีมพากษ์ อินฟลูเอนเซอร์, กลุ่มสิงห์ ในฐานะสปอนเซอร์หลัก และกลุ่ม SF ซึ่งจะเข้ามาช่วยด้านการถ่ายทอดสดผ่านจอยักษ์
ส่วนปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์รับชมนั้น มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นายโสรัชย์ กล่าวอีกว่า EPL ถือเป็นก้าวแรกของกลุ่มจัสมินในการทรานส์ฟอร์มจากธุรกิจโทรคมนาคมสู่ธุรกิจกีฬาเพื่อความบันเทิง (Sport Entertainment) โดยนอกจากกีฬาฟุตบอล อันได้แก่ EPL เอฟเอคัพ และไทยลีกแล้ว ยังมองไปถึงการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก ฟุตบอลยูโร ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก (Club World Cup) ฟุตบอลทีมชาติไทย และกีฬาอื่นๆ เช่น มวยไทย วอลเลย์บอล หรือเซปักตะกร้อ