
“ไม่มีอะไรง่าย” คือคำอธิบายงานของ “ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ภายใน 1 ประโยค ที่น่าจะตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด
“ไม่มีอะไรง่าย” คือคำอธิบายงานของ “ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ภายใน 1 ประโยค ที่น่าจะตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด
นอกจากประคับประคององค์กรที่มีอายุยาวนาน 142 ปี ให้ไปต่อเท่าทันสภาพการณ์ธุรกิจยุคปัจจุบัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับตัว ปรับใจ ปรับความคิดของพนักงานจำนวน 42,000 คน (ขณะเข้ารับตำแหน่ง) ตลอดจนการหาโอกาสใหม่ๆให้ไปรษณีย์ไทยอยู่ต่อไปให้ได้แล้ว
.....การแข่งขันที่รุนแรงใน “สงครามส่งด่วน” โดยเฉพาะจากขนส่งข้ามชาติ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นำไปสู่การเพิ่มอัตราภาษีขาเข้าจากสหรัฐอเมริกา การหนีตายของสินค้าจีนที่หลั่งไหลเข้ามาในไทยพร้อมแพ็กเกจผูกขาด “ขายสินค้าพ่วงขนส่ง” ยังเป็นปัจจัยตอกย้ำงานของ ดร.ดนันท์ “ไม่มีอะไรง่าย” ย้อนกลับไป 4 ปีเศษๆ “ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์” เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2564 ครบวาระ 4 ปี และบอร์ดไปรษณีย์ไทยอนุมัติต่ออายุสัญญาออกไปอีก 1 วาระ 4 ปี สิ้นสุดวันที่ 16 พ.ค.2572
ขับเคลื่อนไปรษณีย์ไทยขึ้นปีที่ 5 ดร.ดนันท์ ซีอีโอวัย 52 ปี เปิดใจกับ “ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ว่า เป็นอีก 4 ปีที่ต้องใช้พลังและยังยาก “อยู่นานขึ้น ยิ่งเห็นสิ่งที่ต้องทำอีกมากมาย ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา สะสางเรื่องเฉพาะหน้า (Adhoc) ไปหลายเรื่อง ส่วน 4 ปีจากนี้จะเป็นการเอาสิ่งที่ทำไปแล้วมาประกอบร่าง นำไปสู่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหญ่”
ชื่อของ ดร.ดนันท์ ในแวดวงผู้สื่อข่าวสายสื่อสาร โทรคมนาคมตั้งแต่รุ่นกลางเก่ากลางใหม่ขึ้นไป คุ้นหน้าคุ้นตาคุ้นหูเป็นอย่างดี เขาเคยถูกกล่าวขานในวงนักข่าวว่าเป็น 4 เสือ Young Generation ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) สมัยนั้น ประกอบด้วย ดร.หนุ่มรูปหล่อ นักเรียนทุน กสท.ที่คาดว่าจะเป็นอนาคตสำคัญขององค์กรต่อไป
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (เกียรตินิยม) จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ดร.ดนันท์เริ่มงานกับ กสท. ในตำแหน่งวิศวกร 3 เงินเดือน 7,400 บาท ทำงานไปสักพักเตรียมจะขอลาออกไปเรียนต่อ ผู้บังคับบัญชาเห็นหน่วยก้าน จึงชี้แนะให้สอบขอทุนกสท.ไปเรียน กลับมาทำงานได้ต่อ ไม่ต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่
สุดท้าย ดร.ดนันท์ทำงานใช้ทุนเป็นเวลา 14 ปีครบจำนวน โดยได้รับทุน กสท.ทั้งโทและเอก ประกอบด้วย ปริญญาโทวิศวกรรมด้าน Telecommunications Engineering จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาเอกวิศวกรรมด้าน Electrical and Systems Engineering มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็น 1 ในคนเก่ง โปรไฟล์ดีที่ยอมอยู่ในระบบรัฐวิสาหกิจ เหตุผลเพราะ “ผมอยากเป็นคนกำหนดนโยบาย อยากทำงานที่เป็นกรอบใหญ่ สมัยก่อน กสท.เป็นผู้กำหนดนโยบายสื่อสารของประเทศด้วย ตอนนั้นยังไม่มีสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ผมได้ทำงานตั้งแต่วางแผนระบบสื่อสารผ่านเคเบิลใยแก้ว ระบบเคเบิลใต้น้ำ และระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมในช่วงแรกๆ ของประเทศ ราวปี 2539”
จนวันนี้ ดร.ดนันท์ มีประสบการณ์ทำงานด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลเกือบ 30 ปี ตำแหน่งสุดท้ายก่อนนั่งเบอร์ 1 ไปรษณีย์ไทย คือ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและบริการ ดูแลผลิตภัณฑ์ใน 6 กลุ่มหลัก ทั้ง Datacom, Voice, Internet, Cloud&Data Center, IT Security และ e-Business บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT)
เริ่มนับ 1 ในฐานะซีอีโอองค์กรใหญ่ครั้งแรก ดร.ดนันท์ เล่าว่า เข้ามาดูรายได้ ก็เห็นปัญหาทันที จากรายได้ 28,000 ล้านบาทในปี 2561 เหลือ 23,000 ล้านบาทในปี 2563 และ 21,000 ล้านบาทในปี 2564 ส่วนปี 2567 มีรายได้ 20,993 ล้านบาท ขาดทุน 186 ล้านบาท
“ตอนนั้นตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตพรวดพราด แต่ทำไมเราไม่ได้อยู่ในสมการบวกนั้น รายได้เราลดลง เพราะถูกแย่งตลาดจากคู่แข่งรายใหม่ ซึ่งเปิดตัวด้วยการดัมพ์ราคา
ตอนนั้นเราต้องปรับราคาลงมาสู้ เราหนีจากราคาตลาดไม่ได้ ต้องรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้ ทั้งๆที่โครงสร้างต้นทุนของเราต่างจากเอกชน เราเป็นรัฐวิสาหกิจ มีต้นทุนที่ต้องสนับสนุนกิจการภาครัฐ โดยเฉพาะในช่วงโควิดที่มีการส่งยา ส่งเวชภัณฑ์ เรามีผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stake Holder) มากมาย มีสวัสดิการที่ต้องจ่ายให้พนักงาน เป็นงานที่ต้องบริหารคนมีอำนาจจำนวนมาก”
รักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ในระดับหนึ่ง เพื่อคงไว้ซึ่งธุรกิจหลัก สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือประเมินตัวเอง กลับพบว่า “จุดแข็งของไปรษณีย์ไทยกลับไม่ใช่จุดขาย”
“บุรุษไปรษณีย์รู้จักทุกบ้าน เข้าถึงทุกคน เราคิดว่านี่คือจุดแข็งของเรา แต่ลูกค้าไม่ได้มองตรงนั้น โดยเฉพาะลูกค้ารุ่นใหม่ๆ เขาไม่ได้เกิดมาในยุคส่งโทรเลข ส่งจดหมาย นอกจากไม่ได้รู้สึกว่ามันสำคัญ เป็นจุดแข็ง เขายังไม่รู้จักเราด้วยซ้ำ ถ้ายึดติดความเป็นขนส่ง เราคงลำบาก”
ไปรษณีย์ไทยจึงต้องหันมามองตัวเองใหม่ ปรับวิสัยทัศน์สู่การส่งมอบการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านเครือข่ายไปรษณีย์ ที่มีขนส่งเป็นส่วนหนึ่ง ในฐานะโครงข่ายขนาดใหญ่ที่พร้อมให้ทุกคนเข้ามาร่วมใช้งาน เพิ่มบทบาทบุรุษไปรษณีย์จากขนส่งจดหมาย พัสดุ เป็นช่วยจับคู่ความต้องการซื้อและความต้องการขาย (Matching Demand) เช่น ลูกค้าในคอนโดมิเนียมใหม่มีความต้องการสินค้าอะไรบ้าง, พื้นที่น้ำท่วมอาจต้องการซื้อประกันวินาศภัยเพิ่ม รวมทั้งเสริมกำลังพลขับให้ธุรกิจส่งอาหารในช่วงพีก ถือเป็นการอัปสกิล ฝึกทักษะเพิ่มเติมให้กับบุรุษไปรษณีย์ไปด้วย
และเพราะไปรษณีย์ไทยมีต้นทุนคงที่มากมาย ที่มาพร้อมความเป็นรัฐวิสาหกิจ จะอยู่ในสมรภูมิแข่งราคาตลอดไปย่อมไม่ดีต่อฐานะการเงิน นอกจากการลดต้นทุน เปิดโครงการจูงใจให้เกษียณล่วงหน้า จนจำนวนพนักงานลดเหลือ 37,000 คน (ปี 2568)
ไปรษณีย์ไทยยังเดินหน้ายกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การลดตัวเลขความเสียหายในสินค้าที่ส่ง, การชดใช้ให้ลูกค้าทันที นำไปสู่การเปิดตัวนโยบาย Zero Complaint แก้ไขทุกข้อร้องเรียนให้ลูกค้า
“สำหรับธุรกิจทั่วไปคนจ่ายเงินคือลูกค้า แต่สำหรับธุรกิจรับส่งจดหมาย-พัสดุ ทั้งคนส่งและคนรับคือลูกค้าที่ต้องดูแล เวลาไม่ได้รับจดหมาย คนส่งซึ่งเป็นคนจ่ายเงินและคนรับซึ่งไม่ได้จ่ายเงิน เดือดร้อนหมด ข้อร้องเรียนเวลาไม่ได้รับจดหมายจากคนที่ไม่ได้จ่ายเงินให้เรา สามารถเป็นจุดตายได้ทันที และไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่จะยอมจ่ายเพิ่ม 4 เท่าเพื่อส่งจดหมายลงทะเบียนอีเอ็มเอส”
ความพยายามในการอัปเกรดคุณภาพ ทำให้คะแนนความไว้วางใจแบรนด์ไปรษณีย์ไทยปี 2568 ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 98.26% จาก 96.11% ในปี 2567 ขณะที่คะแนนความเชื่อมั่นในแบรนด์อยู่ที่ 97.92% เพิ่มขึ้นจาก 96.87% เมื่อปี 2567
นอกจากคะแนนนิยมชมชอบเพิ่มขึ้นแล้ว สัดส่วนรายได้จากอีคอมเมิร์ซรายย่อยผ่านโซเชียลมีเดีย (SocialCommerce) ยังเพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าด้วย แสดงให้เห็นว่าหากพ่อค้า-แม่ค้ามีอิสระในการเลือกบริษัทขนส่งไปรษณีย์ไทยคือทางเลือกที่ไม่ได้ด้อยกว่าคู่แข่ง
“ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้คือ การค้าขายผ่านแพลตฟอร์มอี–มาร์เก็ตเพลส ได้แก่ ช้อปปี้ (Shopee) ลาซาด้า (Lazada) ติ๊กต่อกช็อป (TikTokShop) ถูกกำหนดให้จัดส่งผ่านขนส่งในเครือข่ายของแพลตฟอร์มเองเป็นหลัก ไปรษณีย์ไทยมีส่วนแบ่งรายได้จากการขนส่งผ่านช่องทางนี้แค่เพียง 5% ถ้าเพิ่มตรงนี้ได้ รายได้ของเราจะเพิ่มขึ้นอีกมาก เราจึงกำลังพยายามต่อสู้ให้โอกาสตรงนี้เปิดมากขึ้น”
4 ปีที่ผ่านไป ยังเป็นเวลาของการทำแบรนด์ไปรษณีย์ให้ทันสมัย เข้ากับไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น “คนจะคิดถึงไปรษณีย์ไทยเฉพาะเวลาส่งจดหมาย พัสดุ ผมอยากให้คนคิดถึงเราทุกวัน จึงริเริ่มเปิดร้านกาแฟ “Post Cafe” สาขาแรกอยู่ที่ไปรษณีย์สามเสน เพราะคนไทยชอบดื่มกาแฟ เราอยากเข้าใกล้ลูกค้ามากขึ้น นอกจากนั้นยังขยายจุดให้บริการไปรษณีย์เพิ่มขึ้น 5 เท่านับจากปี 2564 เพิ่มเวลาให้บริการ 6,000 ชั่วโมงต่อเดือน เปิดให้บริการในวันหยุด เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าให้เท่าทันกับความต้องการ”
ส่วนเป้าหมายในอีก 4 ปีข้างหน้าที่สะท้อนได้ชัดเจนคือการตามให้ทันช่องทางขายที่หลากหลาย เพราะลูกค้าของไปรษณีย์ไทยอยู่ในนั้นทั้งหมด ตั้งแต่ยุคอีคอมเมิร์ซ อี-มาร์เก็ตเพลส โซเชียลคอมเมิร์ซ และวิดีโอคอมเมิร์ซ
“ตอนนี้วิวัฒนาการไปถึงการขายผ่านบริการ AI ให้ ChatGPT หาและซื้อสินค้าถาม Google Home หรือ Amazon Alexa ผู้ช่วยส่วนตัวประจำบ้าน ให้ซื้อของใช้ในบ้าน ไปรษณีย์ไทยต้องพาตัวเองไปอยู่ในระบบนิเวศนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางไหนก็ตาม เราต้องเข้าไปอยู่ในระบบนิเวศนั้นด้วย”
รวมทั้งการเสาะหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ หลังในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี การขนส่งไปตลาดสหรัฐอเมริกาหยุดนิ่งจากการขึ้นภาษีนำเข้า ทำให้ต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำลังเจาะ เช่น รัสเซีย
ปี 2569 ยังจะเป็นปีแห่งการยกเครื่องช่องทางติดต่อลูกค้าที่เป็นดิจิทัล (Digital Touch Point) ทั้งหมด
รวมทั้งเดินหน้าสร้างโครงข่ายขนาดใหญ่ ซึ่งมีธุรกิจขนส่งเป็น 1 ในห่วงโซ่ต่อไป ไม่ส่งเฉพาะจดหมายแต่ส่งข้อมูลแทน (Information Logistics) โดยในปี 2569 จะเปิดตัวซุปเปอร์แอปโฉมใหม่ รวบรวมแอปพลิเคชันที่มีหลากหลาย สะเปะสะปะไว้ในที่เดียวกัน พัฒนา AI เข้ามาช่วยงานบริการ
พัฒนาบริการ D/ID หรือรหัสที่อยู่ดิจิทัล กระตุ้นโครงสร้างพื้นฐานด้านความเชื่อมั่นและความเป็นส่วนตัวโดยที่ยังคงความสะดวกในการรับ-ส่งพัสดุ รวมถึงเป็นรหัสกลางที่จะทำให้การทำงานร่วมกันของหน่วยงานรัฐอีคอมเมิร์ซ และเอกชนเชื่อมโยงกันได้อย่างไร้รอยต่อ, ยกระดับบริการ Prompt Post โดยพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Digital Postbox บริการตู้ไปรษณีย์ดิจิทัลส่วนบุคคล Passport Tracking บริการติดตามสถานะหนังสือเดินทาง Prompt Pass ระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมออนไลน์ และ Prompt Vote ระบบการลงคะแนนเสียงออนไลน์รูปแบบใหม่ที่ใช้งานง่าย ปลอดภัย และมีระบบบันทึกผลที่น่าเชื่อถือ
รวมถึงการตั้งยูนิตใหม่ บริษัทเทคโนโลยีในเครือไปรษณีย์ไทยใช้ชื่อว่า Thailand Post Technology พัฒนาบริการทางเทคโนโลยีที่ไม่ได้ใช้เฉพาะกับไปรษณีย์ไทยเท่านั้น แต่ทำเพื่อขายให้หน่วยงานภายนอกด้วย.
ทีมเศรษฐกิจ