
Enzo Ferrari ผู้ก่อตั้ง เริ่มต้นจากการเป็นนักแข่งและก่อตั้ง Scuderia Ferrari เพื่อพัฒนารถแข่ง
ถ้าพูดถึงรถหรู หนึ่งแบรนด์ที่ทุกคนต้องนึกถึงเป็นลำดับแรกคงหนีไม่พ้น “Ferrari” ที่นอกจากจะเป็นที่ประจักษ์เรื่องความแรง ความแพง ความหรูหราแล้ว ยังมีเรื่องของตำนานการสร้างอัตลักษณ์แบรนด์ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน
จุดเริ่มต้นของ Ferrari ไม่ได้มาจากความต้องการที่จะขายรถ แต่มาจากความหลงใหลการแข่งรถของผู้ก่อตั้ง “Enzo Ferrari” ที่ถูกนำมาสานต่อเป็นรถสปอร์ต และซูเปอร์คาร์ที่ครองใจคนทั่วโลก ซึ่งภาพของ Ferrari ไม่ได้แค่เป็นตัวแทนของรถเท่านั้น แต่ยังเป็นการบอกเล่าผ่านเรื่องราวของการแข่งขันทั้งในสนาม และนอกสนามที่มีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เฉียบคม
ปัจจุบัน Ferrari มีอายุครบ 78 ปีนับจากวันที่เปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกอย่างเป็นทางการ 125 S ออกมาโชว์ตัวหน้าโรงงาน Via Abetone Inferiore เมืองมาราเนลโล ประเทศอิตาลี จนทำให้เมืองนี้ได้สมญาว่าเป็นเมืองแห่ง Ferrari และนับเป็นการเปิดตัวรถสปอร์ตสมรรถนะสูงครั้งแรกของแบรนด์
แต่สตอรี่ของ Ferrari นั้นหากนับจริง ๆ มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ที่ Enzo Ferrari เข้าร่วมพัฒนาและเป็นนักแข่งให้กับ Alfa Romeo โดยมี Scuderia Ferrari ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนปี 1929 เป็นหนึ่งขาธุรกิจที่พัฒนารถแข่งโดยเฉพาะ ซึ่งรวมไปถึง Formula 1 นั่นก็เท่ากับว่า ณ วันนี้ Scuderia Ferrari ที่กำเนิดขึ้นมาก่อนมีอายุ 96 ปี
คอลัมน์ BrandStory ครั้งนี้ จะพาไปย้อนตำนานที่เล่ากันมาหลายครั้ง ถึงต้นกำเนิด การปั้นแบรนด์ การแข่งขันที่ดุเดือดของ Ferrari ในสนามธุรกิจ ที่ตอนนี้แม้จะเกือบร้อยปีแต่ก็ยังเป็นแบรนด์ลักซ์ชูรีที่ครองใจคนรักรถมาทุกรุ่น
จุดเริ่มต้นของ Ferrari ไม่ใช่ที่รถ แต่เป็นชายที่ชื่อว่า “Enzo Anselmo Giuseppe Maria Ferrari” เขาเกิดในเมืองโมเดนา อิตาลี เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ปี 1898 ในครอบครัวที่คุณพ่อเป็นช่างหล่อโลหะที่ผลิตอุปกรณ์ให้รถไฟอิตาลี
จุดที่ทำให้เขาหลงใหลในรถแข่งเริ่มต้นขึ้นในปี 1908 ตอนที่คุณพ่อพา Enzo Ferrari ในวัย 10 ขวบไปดูการแข่งขันรถที่โบโลญญา จนได้เห็น Felice Nazzaro นักแข่งระดับตำนานรับชัยชนะในครั้งนั้น ตรงนี้ได้จุดประกายให้เขาอยากจะเป็น “นักแข่ง” ขึ้นมาทันที
ก้าวแรกในเส้นทางนักขับของ Enzo เริ่มต้นในปี 1920 ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาได้เข้าร่วมงานกับ “Alfa Romeo” ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในอิตาลี แต่กลับถูกตั้งคำถามในเรื่องฝีมือการแข่งว่าอยู่ในระดับไหนกันแน่ เพราะผลงานที่ดีที่สุดของเขา คือ การคว้าชัยในรายการ Coppa Acerbo ปี 1924 ที่เมืองเปสคารา
และด้วยความโดดเด่นและความสามารถเหลือล้นในการพัฒนารถแข่ง ในปี 1929 เขาได้ก่อตั้ง “Scuderia Ferrari” มาเป็นม้าศึกภายใต้ Alfa Romeo โดยมีโมเดลที่น่าสนใจ คือ ใช้เงินลงทุนน้อย แต่สร้างอิทธิพลสูง ด้วยการซื้อรถแข่งแบรนด์ Alfa Romeo มาดัดแปลงและเข้าร่วมการแข่งขัน
ในปี 1933 ขณะที่ Alfa Romeo กำลังประสบวิกฤติการเงินอย่างหนัก มีเพียงแค่ Scuderia Ferrari ที่ยังคงอยู่รอดจนทำให้บริษัทต้องพึ่งพาขาธุรกิจนี้อย่างหนัก และ Enzo Ferrari ก็ได้กลายเป็นคนที่ขาดไม่ได้ในระบบ สามารถสร้างเงินและพาทีมไปคว้าชัยชนะมาได้ต่อเนื่อง
กระทั่งปี 1939 ความสัมพันธ์ยาวนานของ Alfa Romeo และ Enzo Ferrari ก็ต้องยุติลง เมื่อวิสัยทัศน์สุดทะเยอทะยานของเขาไม่ตรงกับความอุ้ยอ้ายของบริษัท ส่งผลให้เขาถูกบีบให้ออก (บางแหล่งระบุว่าเขาถูกไล่ออก) แถมยังมีข้อตกลงที่ต้องปฏิบัติติดตัวมานั่นคือ ห้ามกลับมาเปิด Scuderia Ferrari หรือใช้ชื่อ Ferrari บนรถใด ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 4 ปี
ในระหว่างนั้นตรงกับช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทาง Enzo ได้เดินออกมาก่อตั้งบริษัทของตัวเองที่ชื่อว่า “Auto Avio Costruzioni” หรือ “ACC” ที่บ้านเกิดโมเดนา ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรและชิ้นส่วนอากาศยานให้รัฐบาลอิตาลี จนสร้างรายได้มหาศาลจากกิจการนี้ในระหว่างสงคราม และถูกนำมาใช้เป็นทุนสร้างแบรนด์ Ferrari ในช่วงหลังสงคราม
ACC ต้องย้ายโรงงานจากโมเดนาไปตั้งที่มาราเนลโลแทนเนื่องจากผลกระทบในช่วงสงคราม จนกลายเป็นอีกอาณาจักรยานยนต์เทียบเคียงกับตูริน ที่เป็นที่ตั้งของ Fiat และมิลาน ที่เป็นฐานของ Alfa Romeo กระทั่งสงครามสิ้นสุด ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางอย่างสมบูรณ์แบบ เงินทุนมหาศาลจากธุรกิจ ACC ทำเลโรงงานที่พร้อมดำเนินงานต่อ และข้อตกลงห้ามใช้ชื่อ Ferrari สิ้นสุดลง
Enzo Ferrari รีบรวมทีมวิศวกรเก่าจากยุคก่อนสงครามกลับมาทันที และในปี 1945 เขาประกาศใช้บริษัทของตัวเองชื่อ “Ferrari” และเปิดตัวรถสปอร์ตรุ่นแรกในปี 1947 ออกมาอย่างเป็นทางการ
จากจุดเริ่มต้นของการเป็นนักแข่ง มาสู่ผู้พัฒนารถแข่ง และในปี 1947 ที่ Ferrari ได้เข้าสู่ยุคสปอร์ตคาร์อย่างเต็มตัว ด้วยการเปิดตัวโมเดลไอคอนิก “125 S” สำหรับใช้งานวิ่งบนท้องถนน
Ferrari 125 S เปิดตัวครั้งแรกที่สนาม Piacenza วันที่ 11 พฤษภาคม 1947 โดยโมเดลนี้ใช้เครื่องยนต์ V12 เอกลักษณ์หลักของ Ferrari ที่ต่อมาจะใช้มายาวนานถึง 40 ปี ซึ่งเครื่องยนต์ V12 นี้ให้การตอบสนองที่รวดเร็วและเร้าใจ อีกทั้งยังสร้างเสียงคำรามของเครื่องที่ทรงพลังและเป็นที่จดจำ
และเครื่องยนต์นี้ก็ให้ผลลัพธ์ตามคาดที่ Enzo วางไว้ 125 S กลายเป็นรถที่เร็วที่สุดในสนาม และสามารถคว้าชัยในการแข่ง Grand Prix of Rome เป็นชัยชนะครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Ferrari และในปีเดียวกันนั้น ยังชนะได้ 6 จาก 14 รายการที่ลงแข่ง จนทำให้ตำนานม้าลำพองเริ่มต้นขึ้นอย่างสมบูรณ์
ต่อมาหลังจากเปิดตัวรถรุ่นแรกแล้ว Ferrari ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในสนามแข่งขัน ด้วยการพัฒนาต่อยอดจากรถ V12 รุ่นแรก ไปเป็นรุ่นอื่น ๆ อย่างเช่น Ferrari 166 S และ 166 MM จนทำให้ทีมสามารถยึดบัลลังก์รถแข่งได้ทันที
Ferrari สามารถคว้าชัยในสนามทั้ง Targa Florio และ Mille Miglia ได้สำเร็จ และยังสามารถคว้าแชมป์ Formula 1 ได้สำเร็จในปี 1951 อีกด้วย แต่ชัยชนะเหล่านี้ไม่ได้หยุดลงแค่นี้ Enzo Ferrari มองว่านี่คืออาวุธทางการตลาดที่แข็งแกร่ง จึงวางฐานต่อยอดไปสู่ธุรกิจรถที่วิ่งได้บนท้องถนน
อาณาจักร Ferrari ตั้งขึ้นบนปรัชญาของ Enzo Ferrari ที่ว่า “ขายรถที่วิ่งถนน เพื่อเอาเงินไปทำรถแข่ง” โมเดลธุรกิจนี้เป็นสิ่งที่ตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับผู้ผลิตรถรายใหญ่รายอื่นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Ford หรือ General Motors ที่ต่างใช้การแข่งรถเป็นตัวช่วยด้านการตลาด
สำหรับ Enzo Ferrari สินค้าตัวจริงของเขาคือ Scuderia ส่วนรถถนนที่สวยงามและราคาแพงซึ่งขายให้บุคคลทั่วไปนั้น เป็นเพียงกลไกระดมทุน เพื่อให้เขาได้ทำในสิ่งที่หลงใหลอย่างแท้จริง นั่นคือ การแข่งรถ ซึ่งเขาไม่ได้มองว่าลูกค้าที่มาซื้อรถนั้นเป็นพันธมิตร แต่เป็นผู้มีอุปการะคุณ เป็นคนมีฐานะ ที่เงินของพวกเขาจำเป็นต่อการสร้างผลงานจริงในสนามแข่ง
ด้วยโมเดลธุรกิจที่ออกแบบมาเพื่อทุ่มทรัพยากรทั้งหมดสู่การแข่งรถ Scuderia Ferrari จึงกลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ต Ferrari มีสถานะใน Formula 1 ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร คือเป็นทีมที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นทีมเดียวที่ลงแข่งทุกฤดูกาล นับตั้งแต่การแข่งขันชิงแชมป์โลกเริ่มต้นในปี 1950
หลังจาก Ferrari ประสบความสำเร็จทั้งในสนามแข่งมานักต่อนัก และมีโมเดลขายรถให้ลูกค้าที่เขาเรียกว่า “ผู้อุปถัมภ์” สิ่งนี้นำไปสู่ศึกที่ 1 ที่เป็นเรื่องเล่าสุดสนุกของตำนานผู้ผลิตรถ นั่นคือ Ferrari vs. Lamborghini
เมื่อ Ferruccio Lamborghini ผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ที่ประสบความสำเร็จ และเป็นเจ้าใหญ่ในอิตาลี ที่เป็นลูกค้าของ Ferrari ด้วยเช่นกัน เขาพบว่า คลัตช์ของรถ Ferrari ที่เขาใช้มักจะมีปัญหา เขาจึงเดินทางไปหา Enzo Ferrari ด้วยตัวเอง เพื่อที่จะไปพูดคุยและให้คำแนะนำในฐานะวิศวกร
แต่แล้วฝั่งของ Enzo กลับรู้สึกเหมือนตัวเองโดนดูถูก รับไม่ได้กับคำวิจารณ์ จึงโต้ตอบไปว่า “ให้ฉันทำรถเถอะ นายกลับไปทำแทรกเตอร์ของนายนั่นแหละ” ด้าน Ferruccio ที่ได้รับคำตอบแบบนั้นก็โกรธจัด คืนนั้นเองเขาได้ตั้งปณิธานกับตัวเองเลยว่า จะสร้างรถสปอร์ตของตัวเองที่ “เร็วกว่า ทนกว่า และซับซ้อนกว่า” รถของ Enzo
ต่อมา Ferruccio Lamborghini ก็ได้เดินหน้าสร้างโรงงาน เริ่มผลิตรถ และในระยะเวลาเพียง 4 เดือน เขาก็ได้เปิดตัว Lamborghini 350 GT จนกลายเป็นศึกคู่แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกซูเปอร์คาร์
ศึกที่ 2 ของ Ferrari เกิดขึ้นในสนามแข่ง นั่นคือ Ford vs. Ferrari ที่หลายคนอาจเคยดูมาแล้วจากภาพยนตร์ นี่คือศึกที่ทำให้ม้าลำพอง ไม่ลำพองอีกต่อไป เพราะ Ford ที่เล็งเห็นว่า Ferrari มีศักยภาพอย่างมากในสนามแข่ง และต้องการจะเป็นเจ้าของทีมแข่งระดับโลก
Ford ที่เข้ามาเจรจากับ Ferrari นานถึง 22 วัน จนถึงวันที่จะตกลงเซ็นสัญญา ทาง Enzo เกิดเปลี่ยนใจกะทันหันไล่ทีม Ford ออกจากออฟฟิศ เนื่องจากไม่พอใจในข้อตกลงที่จะให้ Ford เป็นผู้อนุมัติงบทีมแข่งก่อน
ศึกครั้งนี้นำมาสู่การให้กำเนิด Ford GT40 ที่ต่อมาสามารถเอาชนะ Ferrari ได้อย่างขาดลอย และชนะอีกต่อเนื่องหลายปีติดต่อกัน จนปิดฉากยุคทองของ Ferrari ในสนาม Le Mans ที่ครองมายาวนานลงอย่างสิ้นเชิง
สงครามกับ Ford ไม่ใช่แค่บาดแผลทางใจ แต่มันคือหายนะทางการเงิน เพราะ Ferrari ต้องพึ่งเงินจากการขายรถเพื่อมาใช้ในสนามแข่ง แต่เพราะความพ่ายแพ้ ภาพลักษณ์จึงถูกมองเปลี่ยนไป จึงเป็นที่มาให้ Enzo ต้องมองหาพันธมิตรทางธุรกิจที่จะมาช่วยฟื้นชีวิตให้แบรนด์อีกครั้ง
ในปี 1969 ทาง Ferrari ได้ตกลงลงนามร่วมกันให้ Fiat เข้าถือหุ้น 50% ใน Ferrari โดยดีลนี้ Fiat จะอัดเงินก้อนโตเข้าบริษัท และเข้ามาช่วยผลิตรถถนนเพื่อขยายการเติบโต ในขณะเดียวกันจะให้ Enzo มีอิสระเต็มที่ในการบริหารทีมแข่ง ซึ่งตอบโจทย์เป๊ะกับความต้องการของเขาที่จะยังคงครอบครองทั้งหมดของงานแข่ง
เอกลักษณ์สำคัญของ Ferrari ไม่ได้มีแค่เรื่องความเร็วที่เปรียบดั่งรถที่สั่งตรงมาจากสนามแข่ง แต่ยังเป็นศิลปะรอบ ๆ แบรนด์ที่สร้างภาพจำให้กับทุกคนว่า นี่คือม้าลำพอง นี่คือไอคอนิกแห่งวงการยานยนต์ของโลก
หนึ่งในนั้นคือ “Cavallino Rampante” หรือ “สัญลักษณ์ม้าลำพอง” โลโก้ม้าตัวสีดำที่ดูน่าเกรงขามที่ถูกจดจำมากที่สุดในโลกนี้ แต่สัญลักษณ์ไม่ได้ออกแบบโดย Ferrari เอง แต่มีที่มาจากสัญลักษณ์ของนักบินรบอันดับ 1 ของอิตาลีในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เสียชีวิตกลางสนามรบและกลายเป็นฮีโร่ของชาติ
Enzo ได้รับอนุญาตจากทางครอบครัวของนักบินและนำมาใช้ โดยมองว่าเป็น “มรดกทางศักดิ์ศรี” พร้อมกับเติมสีเหลืองนกคีรีบูน ซึ่งเป็นสีประจำเมืองโมเดนา บ้านเกิดของเขาลงไปด้วย และมีอักษร “S F” แปะลงไปด้วย โลโก้นี้จึงกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่มีอิทธิพลของโลก
ศิลปะที่ถูกเพิ่มลงไปในแบรนด์ Ferrari อย่างแนบเนียนอีกอย่าง คือ “Rosso Corsa” หรือ “สีแดงประจำชาติอิตาลี” ที่ Ferrari ไม่ได้ตั้งใจเลือกขึ้นมาเอง แต่ถูกองค์กรแข่งรถสากลกำหนดไว้ให้ใช้สีแดงสดนี้บนตัวรถในการแข่งขัน
แต่เหตุที่ Ferrari กลายเป็นตัวแทนที่มีสีแดง แม้ว่ารถของทีมอื่นจากประเทศเดียวกันจะใช้สีนี้ นั่นเป็นเพราะว่า “ความดื้อดึง” ที่แบรนด์มีมาต่อเนื่อง ความดื้อดึงนี้เองที่ผูกสีแดงเข้ากับ Ferrari แบบแยกไม่ออก พอถึงยุค 1990s ก็พบว่ามากกว่า 85% ของ Ferrari ที่เป็นรถถนน ถูกสั่งเป็นสีแดง
อีกหนึ่งหัวใจหลักของ Ferrari คือ ศิลปะแห่งเครื่องยนต์ แต่เครื่องยนต์อย่างเดียวความงามอาจจะไม่เตะตาลูกค้าได้ดีพอ จึงนำมาสู่ความร่วมมือระหว่าง Ferrari กับ Pininfarina ตัวพ่อผู้ก่อตั้งดีไซน์เฮาส์ให้มาออกแบบตัวถังของ Ferrari ให้
รถรุ่นแรกจากความร่วมมือคือ Ferrari 212 Inter (ปี 1952) ซึ่งเปิดประตูสู่ “ยุคทองแห่งดีไซน์” และภายในทศวรรษ 1970 ทาง Pininfarina ได้ออกแบบรถ Ferrari แทบทุกรุ่น (ยกเว้น 308 GT4 ที่ออกแบบโดย Bertone) และเป็นพลังที่ทำให้ความโหดของเครื่อง V12 ถูกห่อด้วยรูปทรงงดงามเหนือกาลเวลา
มีโมเดลไอคอนิกหลายตัวที่ Pininfarina ออกแบบมา ไม่ว่าจะเป็น 275 GTB (1964), 365 GTB/4 “Daytona” (1968), 308 GTB (1975) ตลอดจน Ferrari Enzo (2002) และความร่วมมือนี้ สร้างดีเอ็นเอ Ferrari มากว่า 60 ปี จนกระทั่งปี 2011 ที่ Ferrari ได้เปิดสตูดิโอดีไซน์ของตัวเองในชื่อ “Centro Stile Ferrari”
จากการผสมผสานระหว่างวิศวกรรมและศิลปะ ทำให้กำเนิดรถ 3 รุ่นที่กลายเป็นเสาหลักทางวัฒนธรรมของ Ferrari ซึ่งแต่ละรุ่นสะท้อนด้านต่าง ๆ ของตัวตนแบรนด์
หลังจาก Enzo Ferrari เสียชีวิตลง Fiat ก็ได้เข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 90% ก่อนจะแยกบริษัทออกไปเป็นอิสระ และส่ง Ferrari เข้าตลาดนิวยอร์กในปี 2015 เพราะทาง Sergio Marchionne ซีอีโอของ Fiat มองว่า “Ferrari ไม่ใช่บริษัทผลิตรถยนต์แบบ Ford หรือ Fiat แต่ Ferrari คือบริษัทลักชัวรีแบบเดียวกับ Hermès หรือ Prada”
ผลลัพธ์คือ Ferrari ได้การประเมินมูลค่าประมาณ 11,000 ล้านยูโรในตอนที่แยกบริษัท และภายหลังมูลค่าพุ่งขึ้นกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปัจจุบันมีมูลค่าตามตลาดกว่า 75,730 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
ความทะเยอทะยานของ Ferrari ในยุคหลัง Enzo คือ การเป็นแบรนด์ที่ขายประสบการณ์ เป้าหมายไม่ใช่ขายรถให้ได้มากที่สุด แต่คือ “ทำให้รถดูอยากได้ที่สุด” ขยายตลาดออกไปในหลายประเทศทั่วทุกมุมโลก ซึ่งก็รวมถึงไทยเองที่มี Cavallino Motors เป็นผู้นำเข้าแต่ผู้เดียวอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังขยายไปยังตลาดไลฟ์สไตล์มากขึ้น ทั้งแฟชั่น ตลอดจน Ferrari World ธีมพาร์คยักษ์ในอาบูดาบี
นอกจากนี้ Ferrari ยังหันมาทำรถไฮบริดหลังจากต้องเผชิญกับแรงกดดันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยยังคงรักษาอัตลักษณ์ความเร็วและแรงไว้ และยังก้าวเข้ามาในตลาด SUV ที่มาตีตลาดรถครอบครัวสุดหรูในคราบของรถสปอร์ต
อีกหนึ่งความน่าสนใจของแบรนด์ Ferrari คือ การนำโมเดลไอคอนิกกลับมาออกแบบซ้ำให้มีความทันสมัยมากขึ้น ในขณะที่ยังคงรักษาความงามในแบบฉบับของ Ferrari เอาไว้ อย่างล่าสุด ได้เปิดตัว “Ferrari 849 Testarossa” ตัวใหม่ออกมา โดยประเทศไทยก็ได้รับเลือกให้เป็นพื้นที่จัดงาน “Ferrari 849 Testarossa Southeast Asia Premiere” ซึ่งเป็นงานในระดับภูมิภาค
ซึ่ง 849 Testarossa ถือได้ว่าเป็นสุดยอดยนตรกรรมของ Ferrari ในปัจจุบัน ที่สะท้อนจิตวิญญาณแห่งสนามแข่งและอัตลักษณ์จากมาราเนลโลได้อย่างชัดเจน ผ่านความแรงและความหรูหราบนดีไซน์สุดยูนีคฉบับ Testarossa ที่มีความหมายว่า “หัวสีแดง”
การกลับมาของชื่อ Testarossa ในครั้งนี้ คือการรำลึกถึงตำนานจากประวัติศาสตร์ของม้าลำพองที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1956 กับรุ่น 500 TR และโด่งดังไปทั่วโลกกับ Ferrari Testarossa ในปี 1984 สู่ยุคใหม่ของความหรูหราและสมรรถนะชั้นเลิศ อันเป็นสัญลักษณ์ของฝาสูบสีแดงบนเครื่องยนต์แข่งสมรรถนะสูง พร้อมการตีความที่ผสานระหว่างดีเอ็นเอแห่งความคลาสสิกเข้ากับเทคโนโลยีและงานออกแบบร่วมสมัยอย่างลงตัว
การนำเอารถรุ่นไอคอนิก นำความคลาสสิกที่หลายคนหลงใหลให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมกับการดีไซน์ที่ผสานเทคโนโลยีเพื่อให้มีความทันสมัย นับว่าเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ Ferrari ที่ต้องการจะสานต่อสิ่งที่ Enzo Ferrari สร้างไว้อย่างมั่นคง ให้เติบโตไปอย่างหรูหราพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่จะตอบโจทย์เหล่า Ferrarista ทั้งยุคเก่าและยุคใหม่
ที่มา: Ferrari [1][2][3][4], Huntermoss, Business Insider, Cascade, Formula 1, Alfa Romeo, EBSCO, Ferrari Lake Forest, Cavallino Motors
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney