ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ไทยเบฟ เจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มและอาหารรายใหญ่ของประเทศไทย ประกาศแผนธุรกิจปี 2569 ภายใต้แผนการทำงานระยะยาวที่เรียกว่า “PASSION 2030” ตอกย้ำความมุ่งมั่น สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคที่ยังคงมีความท้าทาย
ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
โดยในช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA อยู่ที่ 45,026 ล้านบาท ลดลง 4% จากปีก่อนหน้า เป็นผลจากการลงทุนในตราสินค้าและการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามแผนงาน
“ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไทยเบฟยังคงพร้อมที่จะขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ PASSION 2030 อย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะเข้าถึงผู้บริโภค ส่งเสริมศักยภาพบุคลากร และเสริมแกร่งสินค้า ทั้งนี้กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเสริมให้ธุรกิจมีความคล่องตัว แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน” ฐาปน สิริวัฒนภักดี กล่าว
กางแผนปีหน้าและกลยุทธ์ “PASSION 2030” สำหรับ “PASSION 2030” คือแผนธุรกิจระยะ 6 ปีของไทยเบฟ ที่ประกาศใช้สำหรับเป็นกรอบการทำงานตั้งแต่ปี 2568 ถึง 2573 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการเป็น “ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน” ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร
โดยแผนดังกล่าวขับเคลื่อนด้วย 2 กลยุทธ์หลัก “ที่เปรียบเสมือนแขนซ้ายและแขนขวาที่ขาดกันไม่ได้” ได้แก่
Reach Competitively (การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ) กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการขยายเครือข่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการนำสินค้าส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ประกอบด้วยการขยายธุรกิจในภูมิภาค ผ่านการลงทุนและสร้างพันธมิตรในอาเซียน เช่น การเข้าไปในธุรกิจเครื่องดื่มที่เวียดนาม และการผนวกรวมธุรกิจกับ F&N ที่สิงคโปร์และมาเลเซียที่ครอบคลุมทั้งการผลิต จัดจำหน่าย และเข้าถึงผู้บริโภคการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้า เพิ่มความครอบคลุมในทุกช่องทางการขาย ทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และร้านค้าปลีกดั้งเดิมในประเทศไทย รวมถึงในมาเลเซียและสิงคโปร์ การบริการ สร้างประสบการณ์ที่ดีและไร้รอยต่อให้กับลูกค้าและคู่ค้าการบริหารต้นทุน ดำเนินการทั้งหมดภายใต้ต้นทุนที่สามารถแข่งขันในตลาดได้
ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
Digital for Growth (ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต) กลยุทธ์นี้คือการนำเทคโนโลยีและ Data มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพทางธุรกิจ ประกอบด้วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน นำระบบดิจิทัลและอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทำความเข้าใจลูกค้าเชิงลึก ใช้ Data จากแพลตฟอร์มดิจิทัลมาวิเคราะห์เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ และทำความเข้าใจลูกค้า เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอพัฒนาบุคลากร ยกระดับทักษะเดิมและพัฒนาทักษะใหม่ของพนักงานให้สอดคล้องกับความสามารถที่จำเป็นในยุคดิจิทัลขยายช่องทางการขาย พัฒนาช่องทางการขายผ่านทั้งในรูปแบบ B2B และ D2C (Direct-to-Consumer) มากขึ้น
“วันนี้เราไม่ใช่เพียงแค่ต้องการที่จะบริการลูกค้าของเรา เราต้องการที่จะเข้าใจคุณลูกค้าของลูกค้าของเรา และเข้าใจด้วยคนนั้นเองครับ เข้าใจลูกค้าของลูกค้าของลูกค้าของเรา” ฐาปน สิริวัฒนภักดี กล่าว ตามแผนที่ไทยเบฟต้องการจะเจาะไปถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคโดยตรงด้วย ไม่ใช่แค่กับลูกค้าที่เป็นร้านค้า
นอกจากนี้ สำหรับปีงบประมาณ 2569 บริษัทได้ตั้งงบประมาณการลงทุน (CAPEX) ไว้ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท โดยจะจัดสรรให้กับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ดังนี้
ธุรกิจสุรา 2,000 ล้านบาท ธุรกิจเบียร์ 2,000 ล้านบาท ธุรกิจอาหาร 1,000 ล้านบาท ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 4,000 ล้านบาท ทั้งนี้ งบลงทุนธุรกิจเครื่องดื่มที่สูงในปีหน้านั้น เนื่องจากมีโครงการต่อเนื่องที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ ซึ่งหลังจากนั้นคาดว่า CAPEX จะค่อย ๆ ลดลง
ภาพรวมและแผนของแต่ละกลุ่มธุรกิจ ปัจจุบัน ธุรกิจของไทยเบฟประกอบไปด้วย 4 กลุ่มธุรกิจ นั่นคือ สุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหาร
ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
รายได้ 9 เดือนของปี 2568: มีรายได้จากการขาย 92,778 ล้านบาท (ทรงตัว) และมี EBITDA 22,161 ล้านบาท (ลดลง)ภาพรวมธุรกิจที่ผ่านมา: รายได้ทรงตัวแม้ปริมาณขายจะลดลงเล็กน้อย 0.8% กำไรที่ลดลงเป็นผลจากการเพิ่มงบการตลาดเพื่อเสริมแกร่งแบรนด์และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จในการเปิดตัวซิงเกิลมอลต์วิสกี้ PRAKAAN (ปราการ) และเครื่องดื่ม ZATO (ซาโต้) ซึ่งได้รับรางวัลระดับโลก ขณะที่ธุรกิจในเมียนมายังคงแข็งแกร่งแผนต่อไปของธุรกิจ: มุ่งเสริมแกร่งแบรนด์หลักในประเทศ (อย่างเช่น รวงข้าว หงส์ทอง) พร้อมยกระดับกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม และผลักดันสุราไทยสู่เวทีโลก ควบคู่กับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและดำเนินงานด้านความยั่งยืนรายได้ 9 เดือนของปี 2568: มีรายได้จากการขาย 96,497 ล้านบาท (ทรงตัว) และมี EBITDA 12,573 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4%)ภาพรวมธุรกิจที่ผ่านมา: แม้รายได้จะทรงตัวจากสภาวะตลาดที่ท้าทายในเวียดนาม แต่ปริมาณการขายรวมเพิ่มขึ้น 4.8% อัตรากำไรดีขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงและประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น ส่วนเบียร์ช้างในไทยยังคงได้รับรางวัลด้านคุณภาพอย่างต่อเนื่องแผนต่อไปของธุรกิจ: ในประเทศไทยจะมุ่งเสริมแกร่งแบรนด์เบียร์ช้าง และขยายตลาดแมสพรีเมียม ส่วนในเวียดนามจะรักษาสถานะผู้นำตลาดของ Bia Saigon พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
รายได้ 9 เดือนของปี 2568: มีรายได้จากการขาย 49,326 ล้านบาท (ลดลง 0.7%) และมี EBITDA 8,718 ล้านบาท (ลดลง 6.3%)ภาพรวมธุรกิจที่ผ่านมา: กำไรที่ลดลงเป็นผลจากการลงทุนด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น แบรนด์หลักอย่าง โออิชิ คริสตัล และ เอส ต่างมีแคมเปญใหญ่เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค และได้เริ่มผนึกกำลังกับ F&N ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์นมในไทยแผนต่อไปของธุรกิจ: เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์หลัก ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 600,000 จุดขายในไทย รวมถึงเครือข่ายในมาเลเซียและสิงคโปร์
รายได้ 9 เดือนของปี 2568: มีรายได้จากการขาย 16,563 ล้านบาท (ลดลง 1.4%) และมี EBITDA 1,578 ล้านบาท (ลดลง)ภาพรวมธุรกิจที่ผ่านมา: ผลประกอบการได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับโฉมแบรนด์ชาบูชิครั้งใหญ่เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับลูกค้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นแผนต่อไปของธุรกิจ: ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่สมดุลระหว่างการขยายสาขาใหม่และการสร้างการเติบโตในสาขาเดิม พร้อมเสริมแกร่งพื้นฐานธุรกิจผ่านการพัฒนาบุคลากร การใช้ระบบดิจิทัล และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดนี้คือการเดินกลยุทธ์ตาม “PASSION 2030” โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการเป็นผู้นำทางธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน แม้ว่าตอนนี้เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวส่งผลกระทบในวงกว้าง จนส่งผลให้รายได้ชะลอตัว และเมื่อปัจจัยภายนอกควบคุมไม่ได้ ไทยเบฟจะหันมามุ่งเน้นการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันจากภายใน (Internal Competitiveness) ผ่าน 2 ส่วนหลักคือ
Cost per Unit: การบริหารต้นทุนการผลิตจากโรงงานให้แข่งขันได้Cost to Serve: การบริหารต้นทุนการขนส่งและบริการจนถึงมือลูกค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุดแม้เศรษฐกิจจะท้าทาย แต่บริษัทเชื่อว่าโมเมนตัมจากการปรับปรุงประสิทธิภาพภายในจะช่วยสร้างการเติบโตได้ในปีหน้า