Met Gala คืองานอะไร? ทำเงินได้มากแค่ไหน จากแฟชั่นและภารกิจเพื่อศิลปะ

Business & Marketing

Corporates & Leadership

Tag

Met Gala คืองานอะไร? ทำเงินได้มากแค่ไหน จากแฟชั่นและภารกิจเพื่อศิลปะ

Date Time: 7 พ.ค. 2568 17:16 น.

Video

สรุปการยื่นภาษี สิทธิ์ลดหย่อนล่าสุด! กับ ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ (iTAX) | Thairath Money Night Stand EP.27

Summary

Met Gala จัดขึ้นเพื่อระดมทุนให้ Costume Institute ของ The Met ในนิวยอร์ก

  • งานนี้มี Anna Wintour เป็นผู้ร่วมจัดงานหลักและดึงดูดคนดังจากทั่วโลก
  • รายได้หลักมาจากตั๋ว โต๊ะ และสปอนเซอร์จากแบรนด์แฟชั่นและบริษัทต่างๆ
  • ตั๋วเข้างานปี 2025 ราคา 75,000 ดอลลาร์สหรัฐ โต๊ะราคา 350,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป
  • รายได้ถูกนำไปใช้ในการจัดนิทรรศการ อนุรักษ์เสื้อผ้า และสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบัน

Latest


ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักงานการกุศลสุดหรูหรา ที่เชิญเหล่าเซเลบริตี้คนดังจากหลากหลายวงการไปร่วมเดินโชว์คอสตูมสุดอลังการ อย่างงาน “Met Gala” โดยเฉพาะงานที่จัดขึ้นในปีนี้ตามธีม “Superfine: Tailoring Black Style” จากการจับเอาเอกลักษณ์ของ Black Dandyism หรือถ่ายทอดความเป็นสุภาพบุรุษออกมาตามสุนทรียศาสตร์และภาพลักษณ์ที่โดดเด่นในการแต่งกายของกลุ่มคนผิวสี ที่เริ่มมีวัฒนธรรมนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1700 โดยงานในปี 2025 นี้ ต้องการจะฉลองความสวยงามทางวัฒนธรรมที่สะท้อนผ่านเครื่องแต่งกายนั่นเอง

สำหรับงาน Met Gala ในทุกปีจะจัดขึ้น ณ พิพิธภัณฑ์ The Metropolitan Museum of Art ใจกลางมหานครนิวยอร์ก และยังเป็นงานที่ถูกเรียกว่าเป็น “กลไกการระดมทุนหลักเพื่อขับเคลื่อนพิพิธภัณฑ์ด้านแฟชั่นของโลก” โดยงานนี้มีชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า “The Costume Institute Benefit”

และต้องบอกก่อนว่า งาน Met Gala ที่แม้จะจัดเปิดพื้นที่ให้คนดังมาโชว์เครื่องแต่งกายแค่ไม่นาน แต่สามารถทำเงินให้มหาศาลให้กับ Costume Institute ได้ ซึ่งในปี 2025 นี้ทางพิพิธภัณฑ์ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าสามารถระดมเงินไปได้กว่า 31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปเจาะเบื้องลึกเบื้องหลังว่างาน Met Gala นี้จัดขึ้นมาเพื่ออะไร? มีวิธีการทำเงินในฐานะงานการกุศลเพื่อแฟชั่นและศิลปะอย่างไร หาเงินจากไหน และเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง?


Met Gala คืองานอะไร ทำไมถึงสำคัญ?

“Met Gala” หรือชื่อเต็มของงานนี้คือ The Costume Institute Benefit แต่คนทั่วโลกรู้จักในนาม Met Gala จุดประสงค์หลักของงานคือการระดมทุนให้กับ Costume Institute ของพิพิธภัณฑ์ The Metropolitan Museum of Art ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของ The Met แต่จะแตกต่างจากแผนกอื่นตรงที่ไม่มีงบสนับสนุนจากพิพิธภัณฑ์โดยตรง ดังนั้น ทุกบาททุกสตางค์ต้องหาเองเท่านั้น

นั่นหมายความว่า Met Gala ไม่ใช่แค่งานปาร์ตี้ธรรมดา แต่เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตการจัดแสดงนิทรรศการแฟชั่นระดับโลกตลอดทั้งปี

สำหรับจุดเริ่มต้น Met Gala เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1948 โดยนักประชาสัมพันธ์แฟชั่นชื่อดัง Eleanor Lambert ที่ลุกขึ้นมาจัดงานในรูปแบบ “มื้อค่ำเที่ยงคืน” สำหรับคนในวงสังคมชั้นสูงของนิวยอร์ก โดยมีตั๋วเข้างานในราคาเพียง 50 ดอลลาร์สหรัฐ

จนในปี 1995 งาน Met Gala ก็ถูกแปลงโฉมไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่ Anna Wintour บรรณาธิการบริหารของนิตยสาร Vogue เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ร่วมจัดงาน (Co-Chair) และยกระดับงานจากงานเลี้ยงสังคม มาเป็นปรากฏการณ์วัฒนธรรมระดับโลก

ด้วยการใช้พลังของ “คนดัง” มาสร้างกระแสอย่างแยบยล ไม่ว่าจะเป็นการดึงดาราฮอลลีวูด นักร้อง นักกีฬา ตลอดจนอินฟลูเอนเซอร์ระดับโลก พร้อมกับจัดเลือกธีมประจำปีที่น่าสนใจ จนทำให้ Met Gala กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับโลกที่สามารถหารายได้ไม่แพ้บริษัทมหาชน


Met Gala หารายได้จากไหนบ้าง?

Met Gala ไม่ได้เป็นแค่งานเดินพรมแดงระดับโลก แต่คือเครื่องจักรสร้างรายได้อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนพิพิธภัณฑ์แฟชั่นแห่งมหานครนิวยอร์กให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ทางการเงินหลายชั้นที่ถูกวางแผนมาอย่างแยบยล

  • ขายตั๋วและโต๊ะ

หนึ่งในแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของ Met Gala คือการขาย “ตั๋ว” และ “โต๊ะ” เข้างาน และถึงแม้ว่างานนี้จะเป็นแบบ Invitation Only ที่มีเงินก็ใช่ว่าจะเข้าได้ หากยังไม่ได้รับการอนุมัติจากแม่งานตัวจริงอย่าง Anna Wintour ประธานที่จัดงานมานานหลายปี

โดยมูลค่าตั๋วเข้างานก็เรียกได้ว่าตัวเลขเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี โดยในปี 2025 นี้ก็มีราคาสุดแพงอยู่ที่ 75,000 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท) ซึ่งเป็นราคาที่ปรับขึ้นมา 50% จากปี 2023 ที่ราคา 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ และหากเทียบกับปี 1995 ที่ Anna Wintour เพิ่งเข้ามานั่งเป็นประธานจัดงานร่วม ตอนนั้นมีมูลค่าเพียง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

สำหรับราคาโต๊ะที่นั่ง ที่ผ่านมาจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 275,000 ถึง 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับ 10 ที่นั่ง แต่สำหรับปี 2025 ราคาเริ่มต้นปรับมาอยู่ที่ 350,000 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 11 ล้านบาท) และมีโอกาสที่ราคาจะขึ้นไปแตะ 600,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่นั่งหรือการเป็นผู้สนับสนุนหลัก ตัวอย่างเช่น Yahoo เคยจ่ายกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อ 2 โต๊ะในฐานะสปอนเซอร์เทคโนโลยีในปี 2015

และสำหรับโต๊ะที่นั่งต้องบอกว่าแขกที่มาร่วมงานไม่ได้เป็นคนจ่าย แต่เป็นทางแบรนด์แฟชั่น บริษัทเทคโนโลยี หรือกลุ่มการเงินที่มักเป็นคนซื้อโต๊ะ แล้วเชิญเซเลบ นักแสดง อินฟลูเอนเซอร์มาเป็น “แขกของแบรนด์” นั่นทำให้เราเห็นว่าแขกจะมาปรากฏตัวพร้อมชุดที่ตรงกับธีม เพื่อสนับสนุนภาพลักษณ์ของแบรนด์นั่นเอง (และทุกคนที่เข้าร่วมจะต้องผ่านการอนุมัติของ Anna Wintour เพื่อคุม “คาแรกเตอร์” ของงานให้อยู่ในระดับไฮแฟชั่นและทรงอิทธิพลอีกด้วย)

  • สปอนเซอร์และพาร์ตเนอร์แบรนด์

Met Gala จะอาศัยสปอนเซอร์จากองค์กรใหญ่ ทั้งสายแฟชั่น ไอที การเงิน และสื่อ มาเป็นผู้สนับสนุนทั้งนิทรรศการและตัวงาน Gala โดยตรง เพื่อที่บริษัทเหล่านี้จะได้เครดิตในสื่อพิพิธภัณฑ์และสื่อโลก รวมถึงการเชื่อมโยงแบรนด์กับวัฒนธรรมแฟชั่นอย่างแนบแน่น

ซึ่งแต่ละปีมักจะมีผู้สนับสนุนหลักมาพร้อมกับธีมแฟชั่นต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ปี 2019 ที่ Gucci สนับสนุนธีม “Camp: Notes on Fashion” ปี 2016 ทาง Apple สนับสนุนธีม “Manus x Machina” ในขณะที่ปี 2018 ทาง Versace และมหาเศรษฐีตระกูล Schwarzman สนับสนุนธีม “Heavenly Bodies” และในปี 2023 ที่ Chanel และ Fendi ร่วมสนับสนุนธีม “Karl Lagerfeld: A Line of Beauty”

นอกจากนี้ จะมีกลุ่มผู้บริหาร คนดัง หรือดีไซเนอร์ของแบรนด์เหล่านี้มักถูกเชิญเป็น “Co-Chair” (กรรมการจัดงาน) เพื่อแสดงสถานะการสนับสนุน อย่างในปี 2025 นี้มี Colman Domingo นักแสดง, Lewis Hamilton นักแข่งฟอร์มูล่า 1, A$AP Rocky แร็ปเปอร์, Pharrell Williams นักร้อง และ Anna Wintour

อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยมีการเผยรายได้ที่มาจากฝั่งสปอนเซอร์หรือแบรนด์ต่าง ๆ ออกมาอย่างชัดเจน แต่คาดว่าจะอยู่ในหลักล้านดอลลาร์สหรัฐต่อราย

  • ใช้ “สื่อ” สร้างภาพลักษณ์แบบไม่เก็บเงิน

ต้องบอกว่าเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจมาก โดย Met Gala จะไม่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ หรือขายสิทธิ์ออกอากาศให้กับเครือข่ายใด ๆ แต่จะใช้พลังของ “สื่อ” มาเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญต่อยอดความยิ่งใหญ่ของงานนี้อย่างชาญฉลาด เพราะ Met Gala เลือกที่จะควบคุมการนำเสนอด้วยตนเอง ไม่ใช่การขายสิทธิ์แพร่ภาพ แต่เป็นการใช้ความพิเศษและความหายากมาสร้างความน่าสนใจแทน

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือ “ไลฟ์สตรีม” ที่จัดโดย Vogue ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์หลักของงาน Met Gala ผ่านแพลตฟอร์มเว็บไซต์ YouTube และโซเชียลมีเดียของ Vogue เอง ไลฟ์สตรีมนี้ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายในการรับชม แต่สามารถสร้างรายได้ผ่าน “การขายพื้นที่สปอนเซอร์” ได้

นอกจากนี้ สื่อบันเทิงทั่วโลกยังเข้ามาทำข่าวการเดินพรมแดงโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมให้พิพิธภัณฑ์ เพราะ Met Gala ได้ขึ้นชื่อแล้วว่าเป็นข่าวที่มีมูลค่าสูงด้วยตัวของมันเอง สื่อได้ภาพและคอนเทนต์กลับไป ส่วนพิพิธภัณฑ์ก็ได้แรงส่งทางภาพลักษณ์ระดับโลก ซึ่งผลพลอยได้อีกอย่างคือ สปอนเซอร์ใหม่ ๆ ที่เห็นอิทธิพลของงานก็พร้อมเข้ามาลงทุนในปีถัดไป

ในส่วนของภาพถ่ายภายในงาน ทาง Met ควบคุมการเข้าถ่ายภาพอย่างเข้มงวด โดยใช้ทีมช่างภาพจาก Vogue หรือเอเจนซีที่ได้รับอนุญาตอย่าง Getty Images เท่านั้น ภาพเหล่านี้สามารถนำไปเผยแพร่หรือขายลิขสิทธิ์ได้ แต่รายได้ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับเอเจนซีหรือช่างภาพ ไม่ได้กลับเข้าสู่ตัวพิพิธภัณฑ์โดยตรง อย่างไรก็ตาม Met จะปล่อยภาพที่ผ่านการคัดเลือกออกมาให้สื่อใช้เพื่อการโปรโมต ซึ่งแม้จะไม่ได้เงินโดยตรง แต่ก็แลกกับการครองพื้นที่สื่อระดับโลกอย่างมหาศาล

  • รายได้เสริม

ทันทีที่งาน Gala จบลง นิทรรศการแฟชั่นของ Costume Institute จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมต่อเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่ง The Met Store ก็ไม่พลาดที่จะต่อยอดด้วยการจำหน่ายสินค้าที่เชื่อมโยงกับธีมนิทรรศการ เช่น หนังสือแคตตาล็อก โปสเตอร์ และสินค้าเฉพาะธีมที่ออกแบบมาอย่างประณีต เช่นเดียวกับปี 2018 ที่จัดนิทรรศการ Heavenly Bodies หรือปี 2023 ที่มีนิทรรศการ Karl Lagerfeld: A Line of Beauty ซึ่งต่างก็มีแคตตาล็อกจัดพิมพ์อย่างหรู และกลายเป็นสินค้าขายดีในกลุ่มนักสะสมแฟชั่นและผู้รักศิลปะ

นอกจากนี้ The Met ยังร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่นผู้สนับสนุนจัดทำ “สินค้ารุ่นพิเศษ” เพื่อจำหน่ายในช่วงนิทรรศการ เช่นในปี 2019 ที่ Gucci ได้ออกสินค้าเฉพาะธีม “Camp: Notes on Fashion” จำหน่ายผ่านพิพิธภัณฑ์ โดยบางชิ้นเป็นงานออกแบบร่วมระหว่างดีไซเนอร์กับทีมภัณฑารักษ์ ถือเป็นการสร้างมูลค่าเสริมให้แบรนด์ และยังเป็นรายได้ให้พิพิธภัณฑ์ในเวลาเดียวกัน

ในด้านลิขสิทธิ์และความร่วมมือด้านสื่อ Met Gala ยังเปิดโอกาสให้เกิดโปรเจกต์พิเศษ เช่น สารคดี The First Monday in May ที่เผยเบื้องหลังการเตรียมงานอย่างละเอียด แม้รายได้จากภาพยนตร์จะไปอยู่กับผู้ผลิต แต่ภาพลักษณ์ของ Met และ Costume Institute ก็ได้รับการขยายผลผ่านคอนเทนต์เหล่านี้อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ Vogue ยังมีการจัดทำเนื้อหาพิเศษ หรือฉบับพิเศษของนิตยสารช่วง Met Gala เพื่อดึงดูดยอดขายและผู้อ่านทั่วโลก ซึ่งเป็นการตอบแทนที่สอดคล้องกับการเป็นสปอนเซอร์หลักของงาน

สุดท้ายแล้ว แม้ว่าส่วนนี้จะไม่ใช่รายได้ตรง แต่สิ่งที่เห็นชัดคืออิทธิพลของ Met Gala ส่งผลต่อยอดผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อธีมนิทรรศการได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลก อย่างในปี 2018 ที่นิทรรศการ Heavenly Bodies มีผู้ชมทะลุ 1.66 ล้านคน ซึ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ The Met การเข้าชมที่เพิ่มขึ้นนั้นแปลเป็นรายได้ทั้งจากค่าบริจาคเข้าชม การซื้อของที่ระลึก และการจับจ่ายในร้านอาหารภายในพิพิธภัณฑ์ด้วยนั่นเอง

ทั้งนี้ ตัวเลขที่ระดมทุนได้ในแต่ละปีของ Met Gala เติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ และหากลองหักลบกับค่าจัดงานที่ประมาณ 3-6 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง ดังนั้นกำไรสุทธิยังสูงมาก ดังนี้

  • ปี 2013: ระดมทุนได้ 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ปี 2014: เพิ่มเป็น 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ปี 2022: พุ่งถึง 17.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ปี 2023: แตะ 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ปี 2024: ขยับเป็น 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ปี 2025: สร้างสถิติใหม่ 31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


แล้ว Met Gala เอาเงินไปทำอะไร?

แม้ภาพความหรูหราบนพรมแดงของ Met Gala จะเป็นสิ่งที่โลกจับตามองทุกปี แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ รายได้หลายสิบล้านดอลลาร์ที่ได้จากงานนี้ ไม่ได้จบอยู่แค่คืนเดียว หากแต่เป็น “พลังทุนทางศิลปะ” ที่ช่วยขับเคลื่อน Costume Institute หน่วยงานภายใต้ The Met ที่ทำหน้าที่อนุรักษ์ วิจัย และจัดแสดงแฟชั่นในฐานะศิลปะระดับโลก

รายได้จาก Met Gala ถูกจัดสรรอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังของวงการแฟชั่น ตั้งแต่นิทรรศการสำคัญ คลังสะสมประวัติศาสตร์ การอนุรักษ์โบราณวัตถุแฟชั่น ไปจนถึงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและงานวิจัยเชิงวิชาการ

หนึ่งในภารกิจหลักของรายได้จาก Met Gala คือ การสนับสนุนการจัดนิทรรศการแฟชั่นประจำปีของ Costume Institute ซึ่งงาน Gala เองก็มักถูกจัดในวันเปิดนิทรรศการใหม่ทุกปี กลายเป็น “ธีมแฟชั่น” ประจำปีที่เชื่อมโยงระหว่างงานศิลปะและวัฒนธรรมป๊อป ซึ่งในปีนี้จะจัดตามธีม Superfine: Tailoring Black Style ที่เน้นบทบาทนักออกแบบผิวสีในวงการแฟชั่น

รายได้จาก Met Gala ยังถูกนำไปใช้ขยายคลังสะสมเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยปัจจุบัน Costume Institute มีคอลเลกชันมากกว่า 33,000 ชิ้น ครอบคลุมประวัติศาสตร์แฟชั่นกว่า 700 ปี ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 จนถึงร่วมสมัย

นอกจากนี้ เบื้องหลังชุดสวยที่เราเห็นในนิทรรศการ คือ “ทีมอนุรักษ์” ที่ใช้เงินจาก Met Gala ในการดูแลชุดโบราณเหล่านี้ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด โดยชุดแฟชั่นระดับ Haute Couture มักใช้วัสดุที่เปราะบางและไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่ได้เป็นร้อยปี ทีมผู้เชี่ยวชาญต้องใช้เทคนิคพิเศษในการดูแล เพื่อช่วยรักษาเป็นมรดกแห่งแฟชั่นให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และชื่นชม

นอกเหนือจากโครงการเฉพาะและนิทรรศการ รายได้จาก Met Gala ยังถูกใช้ในการสนับสนุน “งบดำเนินงานรายปีของ Costume Institute” ซึ่งมีมูลค่าราว 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และในปีที่ Gala ระดมทุนได้เกินเป้า เช่น ปี 2025 ที่ทำได้ถึง 31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สถาบันมีทรัพยากรเพียงพอที่จะนำทุนมาทำวิจัยเชิงวิชาการ ผลิตหนังสือแคตตาล็อกคุณภาพสูง สร้างเนื้อหาดิจิทัลด้านแฟชั่น ตลอดจนวางแผนโครงการใหญ่ระดับโลกในอนาคต

นั่นแปลว่า Met Gala ไม่ได้แค่สนับสนุนสิ่งที่ “มองเห็นได้” เช่น พรมแดงหรือชุดนิทรรศการ แต่ยังช่วย “หล่อเลี้ยงระบบ” ทั้งงานเบื้องหลัง งานวิจัย และการขยายบทบาทของสถาบันให้เป็นศูนย์กลางแฟชั่นโลกอย่างแท้จริง





ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney



Author

Thanthida Thongphet

Thanthida Thongphet
Digital Economy & Future of Finance