แม้ความตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกันตลาด IPO ของสหรัฐฯ จะซบเซาอย่างหนัก แต่ “Zhang Junjie” นักธุรกิจชาวจีนวัย 30 ปี ก็สามารถพลิกเกมสร้างปรากฏการณ์ให้กับแบรนด์ชา อย่าง “CHAGEE” (ชาจี) ด้วยการพาบริษัทจดทะเบียนในตลาด Nasdaq สหรัฐฯ ได้สำเร็จ และสามารถระดมทุนจากการขายหุ้น IPO ไปได้ถึง 411 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตั้งราคาหุ้นที่ราคาสูงสุดของช่วงที่กำหนด
หลังเปิดการซื้อขายในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หุ้น CHAGEE พุ่งขึ้น 16% ปิดตลาดที่ราคาหุ้นละ 32.44 ดอลลาร์สหรัฐ ดันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Zhang Junjie ขึ้นแตะ 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการประเมินของ Bloomberg Billionaires Index ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดอันดับทรัพย์สินของเขา โดยรายได้ทั้งหมดของ Zhang มาจากการถือหุ้นในบริษัท CHAGEE เพียงอย่างเดียว
การเติบโตของแบรนด์สะท้อนถึงเทรนด์ใหม่ในจีนที่ชาแท้กำลังกลับมาได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และทำให้ Zhang กลายเป็นหนึ่งในนักธุรกิจจีนรุ่นใหม่ที่สร้างตัวจากธุรกิจชา เช่นเดียวกับสองพี่น้องผู้ก่อตั้งแบรนด์ Mixue Group ที่มีชื่อเสียงจากชานมไข่มุกในราคาถูกเพียงแก้วละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสามารถทำเงินได้กว่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังบริษัทเปิดตัวในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ตลาดฮ่องกงกลับเริ่มมีสัญญาณอิ่มตัวจากการบูมของชานมไข่มุก โดย Shen Meng ผู้อำนวยการธนาคารเพื่อการลงทุน Chanson & Co. จากปักกิ่ง ระบุว่า หลายบริษัทในกลุ่มเครื่องดื่มชาก็เริ่มประสบปัญหาหลัง IPO ไปไม่นาน เนื่องจากนักลงทุนเริ่มลังเลที่จะลงทุนในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
“เงินทุนที่เคยหลั่งไหลเข้ามาในอุตสาหกรรมชาเริ่มลดลง การ IPO ที่ฮ่องกงอาจทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งในแง่ของมูลค่าบริษัทและเงินทุนที่ระดมได้” Shen กล่าว พร้อมเสริมว่า “สำหรับ CHAGEE ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แทบจะเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ในการระดมทุนและขยายธุรกิจ”
CHAGEE ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ที่มณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน โดย Zhang Junjie เลือกใช้ชื่อแบรนด์ที่มีแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมจีนโบราณเรื่อง “Farewell My Concubine” ซึ่งเล่าถึงเรื่องราวรักแสนเศร้าระหว่างกษัตริย์นักรบและหญิงสาว โดยโลโก้ของ CHAGEE เป็นภาพของตัวละครหญิงในงิ้วปักกิ่ง
แบรนด์นี้แตกต่างจากชานมไข่มุกทั่วไปตรงที่ไม่เน้นเครื่องดื่มที่หวานจัดหรือมีไข่มุก แต่เน้น “ชาพรีเมียมที่ใช้ใบชาจีนแท้” ทั้งชาเขียว ชาดำ และชาอู่หลงผสมกับนมสด โดยวางตัวในตลาดระดับพรีเมียมเช่นเดียวกับ Starbucks ทั้งบรรยากาศภายในร้านที่ออกแบบให้เหมือนเลานจ์ แต่ราคาต่อแก้วที่อยู่ที่ราว 2 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น
Zhang เคยกล่าวไว้ในการขึ้นเวทีฟอรั่มเมื่อเดือนพฤษภาคมว่า “CHAGEE ต้องการคืนชีพศาสตร์การชงชาแบบโบราณที่มีอายุยาวนานกว่า 900 ปี โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นตัวขับเคลื่อน”
ข้อมูลจาก iResearch ในเอกสารเสนอขายหุ้นระบุว่า ตลาดชาแท้ชงสดของจีน (วัดจากมูลค่าสินค้ารวม – GMV) มีแนวโน้มเติบโตจาก 273,000 ล้านหยวนในปีที่ผ่านมา ไปสู่ 426,000 ล้านหยวน หรือราว 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2028 โดยกลุ่มเครื่องดื่มพรีเมียมที่มีราคาเฉลี่ยแก้วละ 17 หยวน (ประมาณ 2.30 ดอลลาร์สหรัฐ) ปัจจุบันครองส่วนแบ่ง 26% ของตลาด เพิ่มขึ้นจากเพียง 11% เมื่อปี 2019
ปัจจุบัน CHAGEE มีร้านชากว่า 6,440 สาขา โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจีน และมีการขยายไปยังตลาดต่างประเทศ ทั้ง มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย โดยในจำนวนนี้ 6,270 สาขา เป็นระบบแฟรนไชส์ และ 169 สาขา เป็นร้านที่บริษัทเป็นเจ้าของเอง
แต่เส้นทางการเติบโตนี้ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ล่าสุด CHAGEE ต้องเผชิญกับกระแสต่อต้านจากผู้บริโภคในมาเลเซีย หลังจากแอปฯ ของบริษัทแสดงแผนที่จีนซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ ขณะที่ในเวียดนามที่กำลังเตรียมเปิดตัว ก็ถูกเจ้าหน้าที่สอบสวนจากประเด็นเดียวกัน
นักวิเคราะห์หุ้น Xinyao Wang ที่เผยแพร่บทวิเคราะห์ผ่านแพลตฟอร์ม Smartkarma ระบุว่า การเลือกเข้าตลาดหุ้นสหรัฐของ CHAGEE อาจเป็นความพยายามวางตัวเองในระดับเดียวกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Starbucks แต่ก็ยอมรับว่า “จังหวะเวลาของ IPO นี้ไม่ง่ายเลย” โดยเฉพาะเมื่อสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐกลับมาปะทุอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด
ที่มา: Bloomberg
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney