
ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น "คนเก่ง" คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จขององค์กร แต่การที่จะดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีศักยภาพไว้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อคนรุ่นใหม่มีทางเลือกในการทำงานมากขึ้น และมีความคาดหวังต่อองค์กรที่แตกต่างไปจากเดิม
จากผลสำรวจล่าสุดพบว่า นอกเหนือจากผลตอบแทนและสวัสดิการแล้ว คนยุคใหม่ยังให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการเติบโต สภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่น และการมีส่วนร่วมในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ดังนั้น องค์กรจึงจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์การสร้างแบรนด์นายจ้างให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนไปนี้
นายจีรวัฒน์ ตั้งบวรพิเชฐ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการสร้างแบรนด์องค์กรนายจ้าง บริษัท เวิร์คเวนเจอร์ เทคโนโลจีส์ จำกัด ผู้ก่อตั้งและเจ้าของการสำรวจ 50 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด (Top 50 Companies in Thailand) กล่าวว่า "แบรนด์นายจ้าง" กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้องค์กรไม่เพียงแค่ดึงดูดผู้สมัครงาน แต่ยังสามารถคัดเลือกบุคลากรคุณภาพและรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว หากองค์กรไม่ปรับตัวตามเทรนด์ใหม่ ๆ อาจพลาดโอกาสสำคัญในการดึงดูดคนเก่งและเผชิญกับความท้าทายในยุคที่พนักงานมีทางเลือกมากขึ้น
“เวิร์คเวนเจอร์” เผย 3 เทรนด์ที่สำคัญต่อองค์กรไทย ที่ต้องนำมาปรับใช้เพื่อดึงดูดและรักษาคนเก่งอย่างยั่งยืนในปี 2568 โดยเน้นบทบาทของ ESG (Environmental, Social, Governance) การสื่อสารผ่าน แพลตฟอร์มดิจิทัล และการพัฒนา Employer Value Proposition (EVP) ที่โดดเด่นและตอบโจทย์พนักงานยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง
ผสาน ESG สร้างแบรนด์นายจ้าง : เทรนด์ที่กำลังมาแรงในไทย
นายจีรวัฒน์เผยว่า ในปีนี้ การผสานแนวคิด ESG (Environmental, Social, Governance) เข้ากับการสร้างแบรนด์นายจ้างมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เนื่องจากคนรุ่นใหม่อย่าง Millennials และ Gen Z ให้ความสำคัญกับคุณค่าที่องค์กรยึดถือ โดยเฉพาะในด้านความยั่งยืนและจริยธรรม องค์กรที่ดำเนินงานตามหลัก ESG จึงมีความได้เปรียบในการดึงดูดพนักงานรุ่นใหม่
ด้วยเหตุนี้ คนรุ่นใหม่มักมองหาองค์กรที่ไม่เพียงแค่สร้างผลกำไร แต่ยังมีจริยธรรมและมีบทบาทในการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม องค์กรที่ผสาน ESG เข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจจะมีความโดดเด่นในตลาดแรงงาน และสามารถก้าวสู่การเป็น “Employer of Choice” ที่สะท้อนถึงคุณค่าและความเชื่อมั่นของพนักงานยุคใหม่ได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ การนำ ESG มาใช้ยังช่วยให้องค์กรรับมือกับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดจากความเสียหายต่อภาพลักษณ์องค์กร หรือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ESG จึงไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานยุคใหม่ แต่ยังเป็นรากฐานที่เสริมสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว
สื่อสารผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล : กลยุทธ์สำคัญสำหรับแบรนด์นายจ้าง
นายจีรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2568 แพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง Meta, YouTube และ TikTok จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะพนักงานรุ่นใหม่ที่มักใช้โซเชียลมีเดียในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรและวัฒนธรรมการทำงาน
สำหรับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ในปีนี้ องค์กรควรนำเสนอเรื่องราวที่สะท้อนตัวตนผ่าน การเล่าเรื่องราวของพนักงาน (Employee Storytelling) เช่น การแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวของพนักงาน หรือการผลิตวิดีโอสั้นที่นำเสนอวัฒนธรรมองค์กรในมุมมองที่มีชีวิตชีวาและน่าสนใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิดีโอสั้นที่สนุกและทันสมัยบนแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram Reels จะมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ ความจริงใจและความโปร่งใสยังเป็นปัจจัยที่พนักงาน Millennials และ Gen Z ให้ความสำคัญ การสื่อสารแบบเรียลไทม์และการเล่าเรื่องผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กรให้ดูน่าเชื่อถือ ทันสมัย และสามารถตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พัฒนา EVP : กุญแจสู่ความสำเร็จในตลาดแรงงาน
การแข่งขันในตลาดแรงงานที่เพิ่มขึ้นและความต้องการ "งานที่มีความหมาย" ของคนรุ่นใหม่ ทำให้การพัฒนา Employee Value Proposition (EVP) กลายเป็นหัวใจสำคัญสำหรับองค์กรในยุคปัจจุบัน โดยองค์กรที่สามารถพัฒนา EVP อย่างเป็นระบบและใช้ข้อมูลวิเคราะห์เพื่อยกระดับให้เป็น Strategic EVP จะได้รับประโยชน์ทั้งในด้านการดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพและการสร้างความแข็งแกร่งในด้านทรัพยากรบุคคล
หนึ่งในกลยุทธ์ที่ทรงพลังคือการนำ เรื่องเล่าจากพนักงาน (Employee Storytelling) มาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างการรับรู้และเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง LinkedIn หรือ TikTok ที่ช่วยเน้นย้ำค่านิยมองค์กรและสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจน การเล่าเรื่องเหล่านี้สามารถดึงดูดบุคลากรที่มีความเหมาะสมและแบ่งปันคุณค่าเดียวกันกับองค์กรได้
นอกจากนี้ การสื่อสาร EVP อย่างโปร่งใสและสอดคล้องกับความเป็นจริง ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มความผูกพันระหว่างพนักงานและองค์กร องค์กรที่สามารถสร้าง EVP ให้มีความหมายและตอบโจทย์ทั้งพนักงานและกลุ่มเป้าหมาย จะสามารถสร้างข้อได้เปรียบในตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยการแข่งขัน
ทั้งนี้เมื่อโลกการทำงานในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลการสำรวจครั้งใหญ่ประจำปีล่าสุดจาก เวิร์คเวนเจอร์ เผยให้เห็นถึงความคาดหวังและความต้องการบุคคลที่มีความสามารถต่อองค์กร ทั้งเรื่องของการตัดสินใจไปร่วมงานกับองค์กรใหม่ (Reasons to Join) และการเลือกที่จะอยู่และเติบโตกับองค์กรเดิม (Reasons to Grow)
ผลสำรวจระบุว่า แม้ “ผลตอบแทนและสวัสดิการ” ยังคงเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งและสอง ที่คนทำงานใช้ตัดสินใจเลือกองค์กร แต่ประเด็นอื่น ๆ เช่น โอกาสเติบโตในสายอาชีพ (Career Advancement & Mobility) ความมั่นคงในการทำงาน (Employment Stability) และความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work/Life Balance) ก็มีความสำคัญติดอันดับต้น ๆ ด้วย
แต่เมื่อได้เข้าไปอยู่ในองค์กรแล้ว คนทำงานให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ แตกต่างจากก่อนเข้าทำงานหลายเรื่องด้วยกัน โดยมีเรื่องของสำนักงานและสถานที่ทำงาน (Office / Workplace) รวมถึงสภาพแวดล้อมที่คนทำงานใช้เวลาในการทำงาน สิ่งอำนวยความสะดวกและบรรยากาศ ความปลอดภัย สร้างแรงบันดาลใจ มีความยืดหยุ่นและหลากหลายเหมาะสมกับลักษณะงาน
นอกจากนี้ การมีสภาพแวดล้อมที่สร้างสรรค์และคล่องตัวสูง (Creative / Dynamic Environment) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกท้าทายและแรงจูงใจในการทำงานเป็นทีมและความร่วมมือต่อกัน (Teamwork / Collaboration) อีกทั้ง การเคารพให้เกียรติและเข้าอกเข้าใจต่อกัน (Respect & Empathy) ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เข้ามาอยู่ในองค์กร ที่ทำให้คนทำงานอยากอยู่และเติบโตกับองค์กรนั้นต่อไป
ในการสร้างความเชื่อมั่นและได้รับการยอมรับในฐานะองค์กรนายจ้างที่มีคุณภาพ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Best Places to Work ปัจจัยที่สำคัญในการได้รับความไว้วางใจประกอบด้วย ความมั่นคงในการทำงาน (Employment Stability) พันธกิจและค่านิยมขององค์กร (Mission & Purpose) และการส่งเสริมความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง (Diversity & Inclusion)
ปัจจัยเหล่านี้ได้รับคะแนนความพึงพอใจสูงสุดจากคนทำงาน เพื่อยกระดับพัฒนาประสบการณ์ในองค์กรให้กลายเป็นจุดแข็งและจุดขาย เพื่อสะท้อนถึงความสามารถขององค์กรในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความสุขและรักษาบุคคลที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์กรพร้อมเติบโตไปด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายจีรวัฒน์กล่าวเสริมว่า ก่อนหน้านี้ธุรกิจให้ความสำคัญกับการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า โดยการลงทุนและพัฒนาประสบการณ์เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีทั้งกับลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่า แนวคิดนี้ได้ถูกนำมาใช้กับคนทำงานในองค์กรอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประสบการณ์ที่ดีภายในองค์กรอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดและรักษาบุคคลที่มีความสามารถในยุคที่มีตลาดแรงงานมีการแข่งขันสูงขึ้น เสียงสะท้อนเหล่านี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่องค์กรต้องนำมาพิจารณา ปรับกลยุทธ์ และยกระดับประสบการณ์การทำงานให้กลายเป็นจุดแข็งในการสร้างแบรนด์นายจ้างที่น่าสนใจในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันรุนแรงขึ้นในทุกปี