
มหาเศรษฐีที่ความมั่งคั่งทะลุ 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผู้มีหัวก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี คู่ปรับของรัฐบาลรัสเซีย ตลอดจนผู้คลั่งไคล้ในเสรีภาพด้านการสื่อสาร ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือนิยามที่โลกตั้งให้กับ “Pavel Durov” นับตั้งแต่ก่อตั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียตัวแรกในรัสเซียเมื่อปี 2006 จนถึงปัจจุบัน
ข่าวใหญ่ล่าสุดที่ทำทั่วโลกได้รู้จักชายคนนี้ คือ การเข้าควบคุมตัวที่ปารีสตามหมายจับของฝรั่งเศส พร้อมกับข้อกล่าวหาที่ว่า Pavel Durov ในฐานะซีอีโอของ Telegram กระทำการ “อนุญาตให้มีการก่ออาชญากรรม โดยไม่มีการกำกับดูแลบนแพลตฟอร์ม และไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ” เมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา
และอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวทั่วโลกออนไลน์ คือ ความหน้าตาดีของซีอีโอคนนี้และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ที่ออกมาให้สัมภาษณ์เสมอว่า เขาได้ทำการบริจาคสเปิร์มต่อเนื่องตลอด 15 ปีที่ผ่านมา และพร้อมจะดูแลผู้หญิง ตลอดจนลูก ๆ ทุกคนที่เกิดจากเขา พร้อมกับสัญญาจะยกมรดกให้กับลูกกว่า 100 คนที่อยู่ทั่วโลก (ซึ่งเขาเองก็มีลูกที่เกิดจากภรรยาอยู่แล้ว 6 คน)
Pavel Durov คือผู้ร่วมก่อตั้งและปัจจุบันเป็นซีอีโอของ Telegram แอปพลิเคชันแชตลักษณะคล้ายคลึงกับ WhatsApp ของ Meta แต่ความแตกต่างของแอปฯ นี้ คือเรื่องของความปลอดภัย ที่ระบบจะไม่มีการเก็บบันทึกข้อมูลการสนทนา ผู้ใช้สามารถสร้าง Secret Chat ทำให้ผู้ใช้มีอิสระในการสื่อสาร จนกลายเป็นดาบสองคม ที่คนบางกลุ่มใช้งานเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ บิดเบือน ไปจนถึงก่ออาชญากรรม
แม้หลายประเทศจะพยายามแบนแอปฯ ดังกล่าว แต่ท้ายที่สุดแล้ว Telegram ยังคงมีผู้ใช้งานต่อเดือนเกือบ พันล้านคน และยังสามารถสร้างเงินมหาศาลจนสร้างเศรษฐีโลกเทคขึ้นมาอีกหนึ่งคน ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปทำความรู้จักกับ Pavel Durov มหาเศรษฐีหน้าตาดีจากรัสเซียคนนี้ ผู้ยึดมั่นและสู้เพื่อเสรีภาพในการสื่อสารบนโลกดิจิทัล และเป็นบุคคลที่ทำให้รัฐบาลหลายประเทศต้องหวั่น
“Pavel Durov” เกิดเมื่อปี 1984 ในรัสเซีย ซึ่งตอนนั้นยังคงเป็นสหภาพโซเวียตอยู่ ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายไปอยู่ที่อิตาลี ตอนเขาอายุได้ 4 ขวบ และย้ายกลับรัสเซียอีกครั้งหลังปี 1991 ช่วงที่สหภาพโซเวียตล่มสลายไปแล้ว ซึ่งต่อมาพ่อของเขาก็ได้เข้าทำงานต่อใน St. Petersburg State University
ช่วงวัยเด็กของ Durov เขาเติบโตมากับพี่ชายอีกหนึ่งคน คือ Nikolai Durov ที่เป็นเด็กอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ จนถึงขั้นได้ไปออกรายการโทรทัศน์ในอิตาลี เพื่อแก้สมการคณิตศาสตร์แบบเรียลไทม์ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และยังสามารถคว้าเหรียญทองจากการแข่งขัน International Math Olympiad ได้หลายสมัย ขณะที่ Pavel Durov เองก็ได้เป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดของโรงเรียน และเข้าร่วมการแข่งขันในระดับท้องถิ่น
“เราสองคนหลงใหลในเรื่องการเขียนโค้ดและออกแบบมาก” Pavel Durov เคยให้สัมภาษณ์ในรายการหนึ่ง พร้อมเล่าด้วยว่า ตอนที่ย้ายกลับไปรัสเซีย ครอบครัวของเขาได้นำคอมพิวเตอร์ IBM PC XT จากอิตาลีกลับไปด้วย และพวกเขาก็เริ่มต้นเรียนเขียนโค้ดกันเอง ซึ่งช่วงนั้นเป็นราวยุค 90 ทำให้เด็กทั้งสองคนนี้ได้รับโอกาสที่เด็กคนอื่นในรัสเซียไม่เคยเห็นหรือได้สัมผัสมาก่อน
เส้นทางสายโค้ดดิ้งที่ Pavel Durov ปูมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นำมาสู่ธุรกิจเทคโนโลยีตัวแรกที่ขึ้นแท่นเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมในรัสเซีย โดยเขาได้เปิดตัว “Vkontakte” หรือ VK แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเมื่อปี 2006 มีลักษณะคล้ายคลึงกับ Facebook ในยุคแรก ๆ แต่เป็นเวอร์ชันรัสเซีย
ในวัยเพียง 21 ปีตอนก่อตั้งแพลตฟอร์มนี้หลังจากจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมาไม่นาน Pavel Durov กลายเป็นดาวดวงใหม่ โดดเด่นในโลกเทคโนโลยี จนได้ฉายาว่าเป็น “Mark Zuckerberg แห่งรัสเซีย”
แต่ดูเหมือนว่าความนิยมในแพลตฟอร์มนี้จะนำไปสู่การใช้งานในแบบที่ไม่คาดคิด ในยุคแรก ๆ ของโซเชียลมีเดียที่การกรองเนื้อหายังไม่ดีพอ VK ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือวางแผนจัดการชุมนุมในกรุงเคียฟเมื่อปี 2013 เพื่อต่อต้านประธานาธิบดี Viktor Yanukovych ของยูเครนในตอนนั้นที่ฝักใฝ่รัสเซีย
ผลที่ตามมาคือ VK ถูกเรียกร้องจากเครมลินว่า แพลตฟอร์มจำเป็นจะต้องส่งมอบข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานชาวยูเครนให้กับรัฐบาลรัสเซีย แต่ทาง Pavel Durov กลับปฏิเสธ เพราะยึดถือเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้แพลตฟอร์มเป็นเรื่องหลัก ทำให้ความสัมพันธ์กับรัฐบาลรัสเซียดำเนินไปไม่ค่อยดีนัก
“สำหรับผม มันไม่เคยเกี่ยวกับความรวยเลย ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผมคือการแสวงหาอิสรภาพ และเท่าที่จะเป็นไปได้ ภารกิจในชีวิตของผมคือการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้มีอิสรภาพเช่นเดียวกัน” Pavel Durov กล่าว
“ผมไม่ต้องการรับคำสั่งจากใครทั้งนั้น”
จากการตัดสินใจครั้งนั้น ทำให้ต่อมาเขาต้องขายหุ้นที่ตัวเองมีทั้งหมดใน VK ราว 12% ออกไปในมูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกปลดออกจากตำแหน่งซีอีโอของบริษัท และทั้งหมดนี้ก็เป็นการเปิดทางให้กลุ่มผู้ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดี Vladimir Putin เข้าควบคุมกิจการ ซึ่งปัจจุบันนี้ VK อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว
หลังจากลงจากตำแหน่ง Pavel Durov ก็ถูกกดดันอย่างหนักจนต้องเนรเทศตัวเองออกจากรัสเซียในปี 2014 หลังถูก SWAT ของรัสเซียบุกไปที่บ้าน และเมื่อออกนอกประเทศแล้ว เขาก็นำเงินก้อนที่ได้มาจากการขายธุรกิจครั้งนั้นมาปั้นธุรกิจใหม่ร่วมกับพี่ชาย และก็เกิดมาเป็น “Telegram”
Telegram ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 โดยมีพี่ชาย Nikolai Durov เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นวิศวกรผู้ออกแบบแอปฯ ขณะที่ Pavel Durov นั่งเก้าอี้เป็นซีอีโอของบริษัท แม้ว่าในช่วงนั้น จะมีแอปพลิเคชันแชตเกิดขึ้นมามากมาย โดยมีตัวเต็งในตลาดเป็น Messenger ของ Facebook และ WhatsApp อยู่แล้ว แต่ Telegram กลับได้รับความนิยมจากความแตกต่างในเรื่องของความเป็นส่วนตัว
“ไม่สำคัญเลยว่าจะมีแอปฯ ส่งข้อความอยู่แล้วกี่แอปฯ ถ้าท้ายที่สุดแล้วแอปฯ พวกมันคุณภาพแย่” เขากล่าวกับ TechCrunch ในปี 2015
จุดเริ่มต้นของ Telegram มาจากประสบการณ์ที่เจอมาจากเครมลิน เลยต้องการที่จะสร้างแพลตฟอร์มที่ปลอดภัย และไม่ถูกสอดส่องจากการจับตามองของภาครัฐ ทำให้เป็นแอปฯ ที่มีระบบเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง บวกกับจุดยืนด้านการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว ส่งผลให้ Telegram มียอดผู้เข้าใช้งานถล่มทลาย
เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดมาทีหลัง แต่กลับได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม จนสามารถเปิดให้ใช้บริการใน 155 ประเทศทั่วโลก โดยใช้งานมากที่สุดในแถบเอเชียที่ 38% ในยุโรป 27% ในแถบลาตินอเมริกา 21% และในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือรวมกันที่ 8%
นอกจากนี้ Telegram ยังมีการออกแบบและใช้งาน Network ของตัวเอง ชื่อว่า “The Open Network” หรือ “TON” ซึ่งเป็น Open Internet ระบบอินเทอร์เน็ตแบบไม่รวมศูนย์ สร้างมาด้วยแนวคิดให้คอมมูนิตี้ออกแบบการใช้งานเองผ่านเทคโนโลยีของ Telegram และมีสกุลคริปโตเคอร์เรนซีของแพลตฟอร์มที่ใช้ชื่อเดียวกันว่า “TON” ที่ใช้เพื่อดำเนินการต่าง ๆ บนเครือข่าย ใช้ทำธุรกรรม ใช้ในเกม หรือใช้ในการแลกเปลี่ยน Collectible ที่สร้างบน TON
จากรายงาน พบว่า ในปี 2023 แพลตฟอร์ม Telegram สามารถสร้างรายได้อยู่ที่ 342 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านบริการพรีเมียมและจากเหรียญ TON ในแพลตฟอร์ม
แต่แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อเสรีภาพในการสื่อสารนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะเมื่อปลอดภัยมาก ก็เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีเจตนาไม่ดีมาใช้งานเช่นกัน โดยในปี 2015 มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายใช้แพลตฟอร์มวางแผนก่อเหตุโจมตีกรุงปารีส ตลอดจนมีข่าวออกมาต่อเนื่องว่า Telegram ถูกใช้ในการกระจายเนื้อหาที่มีความรุนแรง Hate Speech ข้อมูลเท็จ และข้อมูลบิดเบือนกระจายอยู่ในหลายห้องแชต
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: Telegram แอปฯ แชต ที่ทั้งส่วนตัวและปลอดภัย แต่ทำไมถึงถูกมองว่าขัดกับกฎหมาย จน CEO โดนรวบ
ตัว Pavel Durov เมื่อเดินทางออกจากรัสเซีย ได้ย้ายไปอยู่ที่ดูไบ และได้รับสัญชาติ UAE อีกทั้งก่อนหน้านี้เขาได้รับสัญชาติฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน ซึ่งฐานหลักในการดำเนินงานของ Telegram ตั้งอยู่ที่ดูไบ โดยตัว Durov ได้เดินทางเข้าออกประเทศต่าง ๆ ในแถบยุโรปอยู่บ่อยครั้ง
และสถานการณ์ในปัจจุบัน หลังถูกตำรวจในกรุงปารีสเข้าควบคุมตัว Pavel Durov ได้ถูกจำกัดการออกนอกประเทศ ขณะเดียวกันประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มมอง Telegram ว่าอาจสร้างความเสียหายให้กับชาติ มีกลุ่มก่อการร้ายใช้งาน บ้างก็มีกลุ่มใต้ดินใช้ดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย ส่งผลให้มีการแบนแอปฯ ดังกล่าวตามมา
กระทั่งเดือนกันยายนที่ผ่านมา Telegram ได้ประกาศยกเครื่องเรื่องนโยบายด้านข้อมูลผู้ใช้งานและความเป็นส่วนตัวครั้งสำคัญ โดย Durov ออกมาระบุว่า “ที่อยู่ IP และหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่ละเมิดกฎของแพลตฟอร์ม สามารถถูกเปิดเผยให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ หากมีคำร้องขอทางกฎหมายที่ถูกต้องเข้ามา” หลังจากฟีเจอร์ Telegram Search ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยผู้ที่ละเมิดเงื่อนไขการให้บริการนำไปใช้ขายสินค้าผิดกฎหมาย
Pavel Durov ได้เลื่อนขั้นจากเศรษฐีไปเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมูลค่าสูงกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าลิสต์ Forbes ในปี 2023 ปัจจุบันเขามีความมั่งคั่งสุทธิสูงกว่า 17,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดลำดับที่ 150 ของโลก ซึ่งมูลค่าทุกอย่างล้วนมาจากการดำเนินธุรกิจของ Telegram ทั้งสิ้น
ที่มา: CNN, Business Insider, The Guardian, Time, BBC, Forbes
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney