
กลายเป็นไวรัลทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อ “Guinness” แบรนด์ผู้ผลิตเบียร์ดำระดับโลกปล่อยภาพโปรโมทแคมเปญแรกหลังได้รับสิทธิ์เป็น Global Partner ของการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกร่วมกับ "ลิซ่า" ศิลปินระดับโลกจากวง BLACKPINK ที่ได้รับเกียรติให้เป็นผู้โยนเหรียญเลือกแดนในเกมลอนดอนดาร์บี้ระหว่างอาร์เซนอลและท็อตแนม ฮอตสเปอร์ส เมื่อคืนวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา
เหตุการณ์ครั้งนี้แม้จะเป็นพิธีการสั้นๆ เพียง 2 นาที แต่นับเป็นมิติใหม่ของ ‘วงการฟุตบอล’ และ ‘วงการเพลง’ เนื่องจากตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาผู้ที่ได้รับเกียรติให้ร่วมพิธีโยนเหรียญมักจะเป็นคนในแวดวงกีฬาเท่านั้น
การปรากฏตัวของลิซ่าจึงเป็นครั้งแรกที่ศิลปินจากวงการบันเทิงได้รับเกียรตินี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลระดับโลกของเธอได้เป็นอย่างดีและที่สำคัญยังช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)ให้กับแบรนด์ Guinness ได้อย่างมหาศาลอีกด้วย
Thairath Money คอลัมน์ BrandStory ครั้งนี้พาย้อนตำนาน “Guinness” ราชาเบียร์ดำมรดกแห่งวงการเบียร์โลกกับคำถามที่ชวนสงสัยว่าเบียร์ดำรายนี้เกี่ยวข้องอะไรกับ "Guinness World Records" อันเดียวกันไหมและเกี่ยวอะไรกับผู้บันทึกสถิติโลก ตลอดจนก้าวใหม่ในวงการกีฬาที่จะช่วยยกระดับเบียร์ดำอายุ 266 ปีรายนี้ให้แมสไปทั่วโลก
“Guinness” คือแบรนด์เบียร์ดำหรือ "เบียร์สเตาต์" (Stout) จากประเทศไอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโกลบอลในฐานะผู้ผลิตเบียร์ดำรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของรสชาติและสีเข้มเฉพาะตัว แม้จะยังไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย แต่แบรนด์นี้ได้รับการยอมรับในระดับตำนานของวงการเบียร์โลก
Guinness ก่อตั้งขึ้นในปี 1759 หรือเมื่อ 266 ปีที่แล้ว โดย อาเธอร์ กวินเนสส์ (Arthur Guinness) ปรมาจารย์ด้านการต้มเบียร์ผู้บุกเบิกแบรนด์ Guinness ที่ได้รับการถ่ายทอดทั้งวิชาและมรดกธุรกิจจากพ่อของเขาที่คอยดูแลที่ดินของเจ้านายซึ่งสร้างเป็นโรงงานผลิตเบียร์ในขณะนั้น
อาเธอร์ กวินเนสส์ในวัย 34 ปี ก่อตั้งโรงเบียร์เล็กๆ ของตนเองโดยเซ็นสัญญาเช่าโรงเบียร์ St. James's Gate ในเมืองดับลิน ซึ่งเป็นโรงเบียร์ในตำนานที่มีอายุมากกว่า 9,000 ปีและมุ่งผลิตเบียร์สเตาต์สไตล์ไอริชในชื่อ “Guinness Draught” ไม่นาน Guinness ก้าวสู่ตลาดโลกครั้งแรกในช่วงทศวรรษปี 1770 โดยเขาเริ่มผลิตเบียร์อังกฤษประเภทใหม่ที่เรียกว่า “พอร์เตอร์” (Porter) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากและได้กลายเป็นเบียร์ดำสูตรต้นตำรับที่โด่งดังจนถึงตอนนี้
เกร็ดความรู้: แบรนด์เลือกใช้ “ฮาร์ป Brian Boru” ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในไอร์แลนด์ที่มีตำนานมาตั้งแต่ยุคกลางมาเป็นสัญลักษณ์บนโลโก้เพื่อสะท้อนถึงสัญลักษณ์ความเป็นไอริช โดยฮาร์ปของ Guinness เป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลของไอร์แลนด์มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ที่เบียร์สดหรือ Draught beer เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นแทนเบียร์บรรจุขวด ทำให้ Guinness ปรับปรุงการผลิตและมุ่งแข่งขันในตลาดเบียร์สดยิ่งขึ้น
โดยการขับเคลื่อนของ ไมเคิล แอช (Michael Ash) นักคณิตศาสตร์ที่ผันตัวมาเป็นผู้ผลิตเบียร์ เป็นคนที่ทำให้กระแสของเบียร์สดของ Guinness กลายเป็นจริง โดยริเริ่มแนวคิดในการใช้ไนโตรเจนเพื่อแปรรูปเบียร์ ซึ่งช่วยปูทางไปสู่เบียร์สด Guinness ขนาด 1 ไพน์ที่เรารู้จักในปัจจุบัน กลายเป็นเบียร์ไนโตรเจนตัวแรกของโลกเปิดตัวในปี 1959 และประสบความสำเร็จในทันที
ปัจจุบัน Guinness อยู่ภายใต้การบริหารของ ดิอาจิโอ (Diageo) ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บริหารจัดการแบรนด์แอลกอฮอล์ชื่อดังระดับโลกจำนวนมากที่สุดในโลก
Guinness ได้รับการยอมรับระดับโลกจากสูตรและกระบวนการผลิตที่คงมาตรฐาน กระบวนการผลิตและความพิถีพิถันของ อาเธอร์ กวินเนสส์ ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นและยังคงเป็นแรงบันดาลใจมาจนถึงทุกวันนี้ และที่สำคัญประวัติศาสตร์อันยาวนานและไม่เหมือนใครของ Guinness ยังสะท้อนถึงการพัฒนาในสังคมไอริช รวมถึงการสร้างนวัตกรรมการผลิตเบียร์ใหม่ ๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาวไอริชมายาวนานเกือบสามศตวรรษ
เมื่ออ่านถึงตรงนี้เราหวังว่าจะคลายข้อสงสัยของใครหลายคนได้… Guinness ไม่เพียงแต่โด่งดังในฐานะแบรนด์เบียร์ แต่ยังเป็นผู้ริเริ่ม Guinness World Records ผู้บันทึกสถิติระดับโลกที่คอยบันทึกจัดอันดับเรื่องต่าง ๆ ที่เราคาดไม่ถึงอีกด้วย และนั่นเป็นที่มาของชื่อที่เหมือนกันนั่นเอง
ความเชื่อมโยงระหว่างเบียร์ Guinness และ Guinness World Records เริ่มต้นขึ้นในปี 1954 โดยเซอร์ ฮิวจ์ บีเวอร์ (Sir Hugh Beaver) ซึ่งขณะนั้นเป็นกรรมการผู้จัดการของ Guinness Breweries เกิดการโต้เถียงกับเพื่อนในบทสนทนาเกี่ยวกับนกล่าเหยื่อที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดในยุโรป
อย่างไรก็ตามการโต้เถียงไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เขาจึงได้รับมอบหมายให้เริ่มต้นเขียนหนังสือที่รวบรวมข้อเท็จจริงและบันทึกสถิติต่าง ๆ และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดให้กับแบรนด์ จากนั้นก็ได้ตีพิมพ์ Guinness Book of Records เล่มแรกในปี 1955 และกลายเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับสถิติโลก ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น Guinness World Records
ในปี 2001 Guinness World Records แยกตัวออกมาเป็นองค์กรอิสระซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของ The Jim Pattison Group กลุ่มทุนสัญชาติแคนาดาและยังคงรักษาบทบาทและกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ไม่เพียงแต่ออกหนังสือประจำปี แต่ขายลิขสิทธิ์ให้ทำรายการทีวีและกิจกรรมต่างๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนนับล้านทั่วโลก
Guinness World Records คอยจัดทำเอกสารเพื่อรับรองความสำเร็จ ความสามารถ และข้อเท็จจริงที่ไม่ธรรมดาในหลากหลายสาขาจนถึงปัจจุบัน เช่น นักวิ่งที่เร็วที่สุด คนที่สูงที่สุด ไปจนถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุด และความสำเร็จที่แปลกประหลาด เช่น การรับประทานแฮมเบอร์เกอร์มากที่สุดในหนึ่งนาที
การเข้ามาของ Guinness ในฐานะพันธมิตรระดับโลกของพรีเมียร์ลีก เกิดขึ้นหลังจาก Budweiser ตัดสินใจยุติสัญญาสนับสนุน โดย Guinness ได้ลงนามในสัญญามูลค่า 52 ล้านปอนด์ ภายในระยะเวลา 4 ปี เริ่มตั้งแต่เมษายน 2024 ซึ่งครอบคลุมสิทธิประโยชน์ทั้งการโฆษณาผ่านช่องทางสื่อของพรีเมียร์ลีก และสิทธิในการจำหน่ายเครื่องดื่มภายในสนามแข่งขัน
นอกจากจะช่วยเสริมแบรนด์ในตลาดสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นตลาดสำคัญแล้ว จะช่วยเปิดโอกาสให้ Guinness เข้าถึงผู้ชมทั่วโลกช่วยยกระดับภาพลักษณ์ความเป็นสากลของแบรนด์ และขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากพรีเมียร์ลีกเป็นลีกฟุตบอลที่มีผู้ชมสูงสุด ด้วยจำนวนผู้ชมถึง 900 ล้านครัวเรือนใน 189 ประเทศ
ยังน่าสนใจอีกว่า ลิซ่า BLACKPINK ยังเป็นเจ้าของสถิติ “ที่สุด” บน Guinness World Records หลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ติดตามสูงสุดบนอินสตาแกรมสำหรับศิลปินเคป็อป, มิวสิควิดีโอโดยศิลปินเดี่ยวเคป็อปที่มียอดวิวสูงสุดภายใน 24 ชั่วโมง, ศิลปินเดี่ยวเคป็อปคนแรกที่ชนะรางวัล MTV Video Music Award และ MTV Europe Music Award เป็นต้น
อิทธิพลจากซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่าง ลิซ่า ตอกย้ำการวางตำแหน่งแบรนด์ในระดับโลกของแบรนด์ Guinness และยังเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของทั้งสองวงการ แน่นอนว่าได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ โดยเฉพาะการสร้างการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่เด็กลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิงข้อมูลจาก GuinnessStorehouse , Guinness
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -