แบรนด์ร้านอาหารจีน บุกอาเซียน 2 ปี โต 3 เท่า มองเป็นแดนสวรรค์ แข่งขันน้อย

Business & Marketing

Corporates & Leadership

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

แบรนด์ร้านอาหารจีน บุกอาเซียน 2 ปี โต 3 เท่า มองเป็นแดนสวรรค์ แข่งขันน้อย

Date Time: 14 ม.ค. 2568 19:06 น.

Video

อย่ากลัว! วิกฤติใหญ่ยังไม่เกิด หาโอกาสลงทุน กับ กวี ชูกิจเกษม | Thairath Money Night Stand EP.21

Summary

ธุรกิจจากประเทศจีนมีการเติบโตมากขึ้น 3 เท่าและขยายตัวอย่างรวดเร็วในอาเซียน จากรายงานระบุเอาไว้ว่าสิงคโปร์และมาเลเซียนั้นมีการเติบโตของแบรนด์จีนมากที่สุด เนื่องจากประชากรจำนวนมากพูดภาษาจีน แต่ถึงกระนั้นในประเทศอื่น ๆ แบรนด์จีนก็ได้รับความนิยมเช่นกัน อาทิเช่น ประเทศไทยที่มีธุรกิจจีนเข้ามาเติบโตอย่างแบรนด์ มี่เสวี่ย และการจับมือร่วมกันของแบรนด์ Luckin Coffee กับน้องหมีเนยเพื่อส่งเสริมการขายระหว่างธุรกิจไทยและจีน

Latest


บริษัทที่ปรึกษา Momentum Works ซึ่งตั้งอยู่ในสิงคโปร์ เปิดเผยว่า เชนร้านอาหารและเครื่องดื่มจีนมากกว่า 60 แบรนด์ อาทิ Mixue, Luckin Coffee รวมถึง Haidilao มีร้านสาขาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่า 6,100 ร้าน ณ สิ้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าจากประมาณ 1,800 ร้านในปี 2022

โดยข้อมูลชี้ให้เห็นว่า อาเซียนยังเป็นหมุดหมายของแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มจีนในการขยายตลาดนอกประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อหลีกเลี่ยงจากการแข่งขันที่ดุเดือดภายในประเทศ นำโดย สิงคโปร์ มาเลเซีย ที่มีจำนวนแบรนด์จีนมากที่สุดในตอนนี้ นอกจากนี้อินโดนีเซียและเวียดนามมีร้านสาขารวมกันประมาณสองในสามของทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์ที่มีตลาดใหญ่ (Mass-market)

จีนสร้างโอกาสธุรกิจด้วยการส่งออกแบรนด์สู่เพื่อนบ้านในอาเซียน

Jianggan Li ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Momentum Works กล่าวกับ Nikkei Asia ว่า "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ดึงดูดสำหรับแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มของจีน เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับจีนทั้งทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม ทำให้การหาพันธมิตรทางธุรกิจในเมืองเหล่านี้ง่ายกว่ามาก" นอกจากนี้แม้ว่าภูมิภาคอาเซียนจะมีขนาดตลาดเพียงประมาณ 17% ของขนาดตลาดจีน แต่ในขณะเดียวกันกลับเป็นภูมิภาคที่มี "การแข่งขันน้อยกว่า" สำหรับบริษัทอาหารและเครื่องดื่มของจีน

พลิกวิกฤตหลัง COVID-19 ให้กลายเป็นโอกาส

อีกหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ร้านอาหารแบรนด์จีนเติบโตอย่างมากในอาเซียนเป็นเพราะการฟื้นตัวของพฤติกรรมผู้คนที่เริ่มกลับมารับประทานอาหารนอกบ้าน หลังจากการระบาดของ COVID-19 ลดลง จากรายงานระบุว่า กลุ่มนี้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2023 สูงถึง 1.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดในปี 2019 ที่ 1.15 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 แม้ว่าอัตราการเติบโตคาดว่าจะลดลงในปี 2024 โดยแตะระดับประมาณ 1.32 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงาน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามีการขยายตัวอย่างมากของธุรกิจจีนในไทยหลังภาวะ COVID-19 เช่น Mixue หรือ มี่เสวี่ย ที่เริ่มขยายสาขาในประเทศเวียดนามเป็นสาขาแรกของอาเซียนในปี 2018 และขยายสาขามาเรื่อยๆ มากกว่า 30,000 สาขาทั่วโลกในปัจจุบัน รวมถึงประเทศไทยเองก็เปิดสาขาแรกในปี 2022 ที่เป็นช่วงหลังวิกฤตโควิดระบาดและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่าร้านอื่นๆ

จับมือร่วมกับแบรนด์เพื่อนบ้านเพื่อผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีกว่าเดิม

นอกจากนี้การคอลแลปส์กับแบรนด์ในประเทศอื่น ได้กลายเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่บริษัทจีนใช้เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์และกระตุ้นยอดขายทางการตลาดให้มากขึ้น ซึ่งทาง Momentum Works กล่าวว่า เจ้าของกิจการในจีนกำลังมองหาโอกาสจำเป็นเพื่อมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์เฉพาะในแต่ละพื้นที่

โดยการพยายามโน้มน้าวให้ลูกค้าจากประเทศนั้นๆ ให้มาเยี่ยมชมร้าน ตัวอย่างเช่น Luckin Coffee จัดแคมเปญส่งเสริมการขายด้วยการจับมือกับร้าน Butterbear ในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนกันยายนปี 2024 เพื่อเปิดตัวเครื่องดื่มที่มี "น้องเนย" มาสคอตหมีสุดน่ารักจากประเทศไทยที่ได้รับความนิยมอย่างมากในโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานมานี้

แม้ว่าธุรกิจจีนจะได้รับผลดีอย่างมากจากการขยายสาขาไปทั่วโลก รวมถึงยังสามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่ดุเดือดของธุรกิจภายในประเทศจีนได้ แต่ในขณะเดียวกัน ร้านอาหารแบรนด์จีนที่เติบโตมากขึ้นนั้นอาจทำให้ธุรกิจต่างๆ ของประเทศในอาเซียนต้องเผชิญกับความท้าทายจากธุรกิจใหม่ของจีน

โดย Jianggan Li กล่าวว่า แม้ว่าเราจะเห็นแบรนด์เล็กๆ บางส่วนรู้สึกถึงแรงกดดัน แต่โดยรวมแล้ว ระบบนิเวศทั้งหมดจะปรับตัวและมีการแข่งขันมากขึ้น สะท้อนถึงการปรับตัวระหว่างธุรกิจในประเทศกับธุรกิจจีนที่เข้ามาเติบโตในฝั่งอาเซียน

ที่มา: Nikkei Asia

ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ