50 ปี Hello Kitty การ์ตูนที่ไม่มีวันแก่ ถอดกลยุทธ์ Sanrio ปั้นคาแรกเตอร์อย่างไรทำกำไรเป็นพันล้าน

Business & Marketing

Corporates & Leadership

Tag

50 ปี Hello Kitty การ์ตูนที่ไม่มีวันแก่ ถอดกลยุทธ์ Sanrio ปั้นคาแรกเตอร์อย่างไรทำกำไรเป็นพันล้าน

Date Time: 18 ธ.ค. 2567 11:30 น.

Video

สรุปการยื่นภาษี สิทธิ์ลดหย่อนล่าสุด! กับ ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ (iTAX) | Thairath Money Night Stand EP.27

Summary

Sanrio เริ่มต้นธุรกิจในปี 1960 และพัฒนาตัวการ์ตูนของตัวเอง เช่น Hello Kitty ที่มีอายุ 50 ปี

  • Sanrio มีรายได้หลักจากการขายสินค้า, การขายลิขสิทธิ์ตัวละคร, และสวนสนุก
  • บริษัทมีการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจบันเทิง เช่น เกม, สตรีมมิ่ง, และโซเชียลมีเดีย
  • Sanrio ร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลก เช่น Balenciaga และ Swarovski
  • ผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2024 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 82% คิดเป็น 19,000 ล้านเยน

คาแรกเตอร์แมวคุณหนูสีขาวที่มาพร้อมกับโบว์บนหูซ้าย อย่าง Hello Kitty ตลอดจนตัวการ์ตูนอย่าง Kuromi, Cinnamonroll รวมไปถึง Gudetama และ Aggretsuko ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวละครตัวโปรดของใครหลายคน ซึ่งปัจจุบันตัวการ์ตูนอย่าง Hello Kitty ก็มีอายุ 50 ปีแล้ว จนอาจเรียกได้ว่าเป็นคุณน้าของเด็ก ๆ หลายคน

จะเห็นได้ว่า แม้เวลาจะผ่านไปยาวนานแค่ไหน คาแรกเตอร์เหล่านี้ก็ยังคงโลดแล่นให้เราเห็นตลอดมา กลายเป็นที่รักของคนทุกเพศทุกวัยอยู่ต่อเนื่อง จนต้องก้มหัวยอมรับความเก่งกาจของบริษัทผู้สร้าง “Sanrio” ที่มีกลยุทธ์คอยผลักดันตัวละครเหล่านี้จนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลก

ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปเจาะวิธีคิดแบบฉบับ Sanrio ว่าทำอย่างไรคาแรกเตอร์ต่าง ๆ ถึงยังเป็นที่นิยม อีกทั้งยังทำยอดขายได้ต่อเนื่อง จนปีล่าสุดทำกำไรได้เพิ่มขึ้น 82% ในระยะเวลาแค่เพียง 6 เดือน


กลยุทธ์ขายความน่ารักแบบฉบับ “Sanrio”

Sanrio มีจุดเริ่มต้นในปี 1960 กับธุรกิจขายสินค้าที่ระลึกในชื่อ Yamanashi Silk Center ด้วยเป้าหมายในการสื่อสารกับสังคม ต่อมาจึงมีการคิดค้นคาแรกเตอร์เป็นของตัวเองเพื่อปั้นแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์ โดยสิ่งแรกที่สร้างขึ้นมา คือ “Strawberry” อาศัยความ “คาวาอิ” น่ารักฉบับญี่ปุ่นพิมพ์ลงบนสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งสมุด กระเป๋า แก้ว ไปจนถึงจาน ชาม

หลังจากนั้นธุรกิจขายสินค้าที่ระลึกก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ มีการขยายสาขาออกไปในประเทศญี่ปุ่น จนในปี 1973 เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Sanrio Company, Ltd. มีสำนักงานใหญ่ในกรุงโตเกียว ก่อนที่ในปี 1974 จะเกิดคาแรกเตอร์เปลี่ยนโลกอย่าง “Hello Kitty” ขึ้นมา และขยายตลาดออกไปสู่สหรัฐอเมริกา

ต่อมา Sanrio ได้สร้างตัวละครใหม่ ๆ ขึ้นมาต่อเนื่อง และในปี 1982 ก็ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (TSE) และขยายอาณาจักรต่อเนื่องทั้งการออกแบบคาแรกเตอร์ใหม่ เปิดสวนสนุกธีมพาร์ค เปิดตลาดในต่างประเทศมากขึ้น ตลอดจนจับมือพาร์ตเนอร์กับแบรนด์อื่น ๆ และจัดอีเวนต์ต้อนรับแฟนคลับ

ตามวิสัยทัศน์ของ Sanrio ที่ว่า “One World, Connecting Smiles” จึงเกิดเป็นสินค้าและกิจกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลาย อีกทั้งยังส่งผลให้ Sanrio กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก มีตัวละครกว่า 450 ตัว และต้องยอมรับว่าหลายตัวก็เป็นตัวโปรดที่เราเห็นกันได้ทุกวันในสินค้าตั้งแต่อุปกรณ์การเรียน ไปจนถึงการคอลแลบกับแบรนด์หรู อย่าง Balenciaga

จุดเริ่มต้นของการคอลแลบกับแบรนด์ต่าง ๆ มาจากการส่ง Hello Kitty เข้า Co-Branding กับเจ้าอื่นนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2000 โดยเริ่มจากการร่วมมือกับแบรนด์ระดับสากลและเซเลบริตี้ต่าง ๆ เช่น Swarovski, Barbour, Tarina Tarantino, Liberty และยังมีอีกหลายแบรนด์ที่ร่วมมือกันตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ Balenciaga จนถึง Chloé และ Blumarine ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถดึงดูดทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ได้ แม้จะเป็นเรื่องที่ท้าทายก็ตาม

นอกจากนี้ Sanrio ยังได้ปรับกลยุทธ์จากออกแบบตัวละครเพียงอย่างเดียว ก็มีการเข้าซื้อลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์บางตัว อย่างเช่น Mr. Men and Little Miss ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบัน ธุรกิจของ Sanrio ขยายไปจากผลิตภัณฑ์สินค้าไปสู่ธุรกิจบันเทิง โดยมีการผลิตคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ ทั้งเกม รายการสตรีมมิ่ง และโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ Sanrio ยังมีบริษัทย่อยทั้งหมด 8 แห่ง และมีพนักงานมากกว่า 3,400 คนทั่วโลก โดยมีสินค้าหลากหลายที่จำหน่ายในกว่า 130 ประเทศ


โมเดลทำเงินของ Sanrio

ในปี 2024 นี้เป็นปีที่ครบรอบ 50 ปี Hello Kitty พอดี ส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจยังคงต่อเนื่องไปได้ด้วยดี โดยกำไรสุทธิในช่วง 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายนเพิ่มขึ้น 82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เป็น 19,000 ล้านเยน (หรือประมาณ 4,245 ล้านบาท)

การเติบโตนี้ได้รับแรงสนับสนุนมาจากกิจกรรมและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการครบรอบ 50 ปี Hello Kitty รวมถึงรายได้จากการอนุญาตลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกาและจีนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ตัวละครใหม่ ๆ นอกเหนือจาก Hello Kitty ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ภาพจาก Sanrio
ภาพจาก Sanrio

ในส่วนของยอดขายในปี 2024 พบว่า อยู่ที่ 62,800 ล้านเยนหรือประมาณ 13 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 43.0% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว) ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 23,500 ล้านเยนหรือกว่า 5 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 77.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว)

โดยโมเดลธุรกิจในการหารายได้ของ Sanrio ตามข้อมูลของบริษัท พบว่า มาจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่

  • ขายสินค้า: รายได้หลักของบริษัทมาจากการขายสินค้าภายใต้แบรนด์และลิขสิทธิ์ของบริษัทผ่านหลายช่องทาง ทั้งร้าน Sanrio ที่บริหารโดยตรง ร้านในห้างสรรพสินค้า ซึ่งมักจะมีสินค้าที่ออกแบบมาเฉพาะหรือจำกัดจำนวน การขายให้กับผู้ค้าปลีกทั่วไป ร้านค้าเฉพาะที่ออกแบบตามคาแรกเตอร์ตัวละคร ตลอดจนการขายผ่านอีคอมเมิร์ซที่ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก

  • ขายลิขสิทธิ์ตัวละคร: เป็นการจัดการสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของตัวละครและแบรนด์ของ Sanrio โดยการอนุญาตให้บริษัทอื่นใช้ทรัพย์สินเหล่านี้ในการผลิตสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้เกิดความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับพันธมิตรทั่วโลก อีกทั้ง Sanrio ยังสามารถสร้างรายได้โดยไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าด้วยตัวเอง ขยายการเข้าถึงแบรนด์ในระดับโลก

  • สวนสนุก: Sanrio ยังมีการเปิดสวนสนุกธีมพาร์ค อย่าง Sanrio Puroland ในโตเกียวและ Harmonyland ในจังหวัดโออิตะ เป็นสวนสนุกที่เน้นนำเสนอตัวละครจาก Sanrio โดยพื้นที่ในสวนสนุกนี้มีการแสดง และยังมีร้านค้าของที่ระลึกอีกด้วย นอกจากนี้ Sanrio ยังขยายธุรกิจของสวนสนุกผ่านการอนุญาตลิขสิทธิ์กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดการแสดงดนตรีหรือกิจกรรมพิเศษที่เกี่ยวข้องกับตัวละคร

นอกจากนี้แล้ว Sanrio ยังสนับสนุนทางการศึกษาผ่านสินค้าอุปกรณ์การเรียน อีกทั้งยังมีโรงงานผลิตสินค้ากลุ่มโรบอท ตลอดจนร้านอาหารและคาเฟ่อีกด้วย


ที่มา: Sanrio [1][2][3], Nikkei Asia, HypebaeBusiness Focus


ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney



Author

Thanthida Thongphet

Thanthida Thongphet
Digital Economy & Future of Finance