
BlackRock เป็นบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์สัญชาติอเมริกัน มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในโลกของการลงทุน มักจะมีชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาเสมอ นั่นก็คือ “BlackRock” ยักษ์ใหญ่แห่งโลกการเงินที่ไม่ได้ชำนาญแค่เรื่องของการบริหารสินทรัพย์ แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการด้วยโมเดลธุรกิจที่ครอบคลุมตั้งแต่การลงทุนไปจนถึงเรื่องของเทคโนโลยี จนได้ชื่อว่าเป็น “บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
หากเทียบกับ GDP โลกที่รายงานออกมาโดย World Bank มีมูลค่าอยู่ที่กว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ซึ่งเท่ากับว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของ BlackRock คิดเป็น 10% ของ GDP โลกเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีมูลค่าสูงกว่า GDP ของทุกประเทศทั่วโลกด้วยเช่นกัน (ยกเว้น GDP ของสหรัฐอเมริกาที่มีมูลค่าประมาณ 26.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีนที่มีมูลค่าประมาณ 19.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)
และในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปเจาะลึกถึงกลยุทธ์ว่าโมเดลธุรกิจของ BlackRock ทำงานอย่างไร? อะไรคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ สร้างรายได้มหาศาล และทำกำไรได้ต่อเนื่อง?
BlackRock คือ บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์สัญชาติอเมริกัน ที่มุ่งเน้นการให้บริการผลิตภัณฑ์และโซลูชันการลงทุนที่หลากหลายแก่ลูกค้า อย่างเช่น กองทุนรวม กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs) และการจัดการการลงทุนแบบปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้า โดย BlackRock ได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก
จากข้อมูลงบประมาณของปี 2023 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2023) พบว่า BlackRock มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีกำไรสุทธิที่ประมาณ 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.26% จากปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้รวมลดลงน้อยกว่า 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยลดลงมาอยู่ที่ 17,860 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ย้อนกลับไปในปี 1988 มีกลุ่มนักธุรกิจและผู้ประกอบการ 8 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “Larry Fink” ได้ก่อตั้ง BlackRock ขึ้นมา ซึ่ง ณ ตอนนั้น BlackRock ยังเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท The Blackstone Group บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ ก่อนที่จะแยกตัวออกมาในภายหลัง
เริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมการบริหารการลงทุน ซึ่งในช่วงแรก BlackRock มุ่งเน้นการให้บริการด้านการจัดการความเสี่ยงและการลงทุนในตราสารหนี้แก่ลูกค้าสถาบัน แต่ไม่นานก็ขยายบริการให้ครอบคลุมกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นและผลิตภัณฑ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย
หลังจากนั้น BlackRock ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านการวางกลยุทธ์ในการควบรวมกิจการและการขยายธุรกิจในระดับโลก โดยในปี 1995 บริษัทได้ควบรวมกับ State Street Research & Management ทำให้สามารถเข้าถึงตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้สำเร็จ จนในปี 1999 BlackRock ได้เปิดขายหุ้นต่อสาธารณชน (IPO) และเริ่มซื้อขายหุ้นในตลาด NYSE
BlackRock ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการเงินอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการลงทุนในกองทุนรวม Passive Fund หรือกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) อีกทั้งกองทุน ETF อย่าง “iShares” ก็ได้กลายมาเป็นตัวเลือกยอดนิยมของนักลงทุนที่มองหาตัวเลือกการลงทุนที่มีต้นทุนต่ำและกระจายความเสี่ยงได้ดี
ภายใต้การบริหารงานของ Larry Fink ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธาน และซีอีโอของ BlackRock ได้มีการให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินหลากหลายรูปแบบแก่บุคคลทั่วไป สถาบัน และรัฐบาลทั่วโลก โดยบริษัทดำเนินงานภายใต้ความเชี่ยวชาญในด้านต่อไปนี้
BlackRock มีเงินไหลเข้าสุทธิ (Net Inflows) อยู่ที่ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยทวีปอเมริกายังเป็นภูมิภาคที่มีเงินไหลเข้าสูงสุดที่ 177,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันกองทุน ETF ก็มีเงินไหลเข้าสุทธิที่ 185,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่ารายได้จากนักลงทุนรายย่อยและสถาบันรวมกัน
และจากรายงานทางการเงินล่าสุดของ BlackRock รายได้ปัจจุบันในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 18,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โตขึ้น 4.63% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ซึ่ง BlackRock มีการแบ่งสัดส่วนรายได้จาก 5 ช่องทางหลัก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเป็นบริการให้คำปรึกษา โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
ปัจจุบัน ณ เดือนธันวาคม 2024 ทาง BlackRock มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 161,810 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ BlackRock เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับที่ 93 ของโลก
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney