เจาะโมเดลธุรกิจ BlackRock ผู้กุมชะตาตลาดการเงินโลก บริษัทที่รวยจากการบริหารเงินคนอื่น

Business & Marketing

Corporates & Leadership

Tag

เจาะโมเดลธุรกิจ BlackRock ผู้กุมชะตาตลาดการเงินโลก บริษัทที่รวยจากการบริหารเงินคนอื่น

Date Time: 8 ธ.ค. 2567 09:00 น.

Video

เมื่อเด็ก ป.6 (11 ขวบ) สร้างรายได้ "หลักแสน" แซงหน้าคนทำงาน! l Money Secret EP.12

Summary

BlackRock เป็นบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์สัญชาติอเมริกัน มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

  • บริษัทฯ ก่อตั้งในปี 1988 โดย Larry Fink และกลุ่มนักธุรกิจ 8 คน เริ่มต้นจากการจัดการความเสี่ยงและตราสารหนี้
  • รายได้หลักของ BlackRock มาจากค่าธรรมเนียมการให้คำปรึกษาและการจัดการลงทุน คิดเป็น 81% ของรายได้ทั้งหมด
  • BlackRock ให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลากหลาย ทั้งกองทุนรวม, ETF, และบริการด้านเทคโนโลยีทางการเงิน
  • บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม, สังคม, และธรรมาภิบาล (ESG) ในการตัดสินใจลงทุน

Latest


ในโลกของการลงทุน มักจะมีชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาเสมอ นั่นก็คือ “BlackRock” ยักษ์ใหญ่แห่งโลกการเงินที่ไม่ได้ชำนาญแค่เรื่องของการบริหารสินทรัพย์ แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการด้วยโมเดลธุรกิจที่ครอบคลุมตั้งแต่การลงทุนไปจนถึงเรื่องของเทคโนโลยี จนได้ชื่อว่าเป็น “บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

หากเทียบกับ GDP โลกที่รายงานออกมาโดย World Bank มีมูลค่าอยู่ที่กว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ซึ่งเท่ากับว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของ BlackRock คิดเป็น 10% ของ GDP โลกเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีมูลค่าสูงกว่า GDP ของทุกประเทศทั่วโลกด้วยเช่นกัน (ยกเว้น GDP ของสหรัฐอเมริกาที่มีมูลค่าประมาณ 26.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีนที่มีมูลค่าประมาณ 19.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)

และในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปเจาะลึกถึงกลยุทธ์ว่าโมเดลธุรกิจของ BlackRock ทำงานอย่างไร? อะไรคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ สร้างรายได้มหาศาล และทำกำไรได้ต่อเนื่อง?


BlackRock คือใคร?

BlackRock คือ บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์สัญชาติอเมริกัน ที่มุ่งเน้นการให้บริการผลิตภัณฑ์และโซลูชันการลงทุนที่หลากหลายแก่ลูกค้า อย่างเช่น กองทุนรวม กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs) และการจัดการการลงทุนแบบปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้า โดย BlackRock ได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก

จากข้อมูลงบประมาณของปี 2023 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2023) พบว่า BlackRock มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีกำไรสุทธิที่ประมาณ 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.26% จากปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้รวมลดลงน้อยกว่า 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยลดลงมาอยู่ที่ 17,860 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ย้อนกลับไปในปี 1988 มีกลุ่มนักธุรกิจและผู้ประกอบการ 8 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “Larry Fink” ได้ก่อตั้ง BlackRock ขึ้นมา ซึ่ง ณ ตอนนั้น BlackRock ยังเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท The Blackstone Group บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ ก่อนที่จะแยกตัวออกมาในภายหลัง

เริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมการบริหารการลงทุน ซึ่งในช่วงแรก BlackRock มุ่งเน้นการให้บริการด้านการจัดการความเสี่ยงและการลงทุนในตราสารหนี้แก่ลูกค้าสถาบัน แต่ไม่นานก็ขยายบริการให้ครอบคลุมกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นและผลิตภัณฑ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย

หลังจากนั้น BlackRock ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านการวางกลยุทธ์ในการควบรวมกิจการและการขยายธุรกิจในระดับโลก โดยในปี 1995 บริษัทได้ควบรวมกับ State Street Research & Management ทำให้สามารถเข้าถึงตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้สำเร็จ จนในปี 1999 BlackRock ได้เปิดขายหุ้นต่อสาธารณชน (IPO) และเริ่มซื้อขายหุ้นในตลาด NYSE

BlackRock ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการเงินอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการลงทุนในกองทุนรวม Passive Fund หรือกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) อีกทั้งกองทุน ETF อย่าง “iShares” ก็ได้กลายมาเป็นตัวเลือกยอดนิยมของนักลงทุนที่มองหาตัวเลือกการลงทุนที่มีต้นทุนต่ำและกระจายความเสี่ยงได้ดี


BlackRock ทำอะไรบ้าง?

ภายใต้การบริหารงานของ Larry Fink ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธาน และซีอีโอของ BlackRock ได้มีการให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินหลากหลายรูปแบบแก่บุคคลทั่วไป สถาบัน และรัฐบาลทั่วโลก โดยบริษัทดำเนินงานภายใต้ความเชี่ยวชาญในด้านต่อไปนี้

  • การบริหารจัดการการลงทุน (Investment Management): BlackRock บริหารกลยุทธ์การลงทุนหลากหลายครอบคลุมสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ (Fixed Income) สินทรัพย์ผสม (Multi Asset) และการลงทุนทางเลือก (Alternative Investments) โดยเสนอกลยุทธ์ผ่านผลิตภัณฑ์ทางการลงทุน อย่างเช่น กองทุนรวม ETFs และบัญชีลงทุนเฉพาะบุคคล
  • การบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management): BlackRock มีการใช้เครื่องมือและเทคนิคการจัดการความเสี่ยงขั้นสูงเพื่อช่วยลูกค้าจัดการความเสี่ยงในการลงทุน โดยได้พัฒนาระบบซอฟต์แวร์ และโมเดลการจัดการความเสี่ยงเฉพาะตัวที่สามารถวิเคราะห์และติดตามความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้อย่างละเอียด
  • เทคโนโลยี (Technology): BlackRock ยังขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology) ที่ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการการลงทุน วิเคราะห์ความเสี่ยง และให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังมีโซลูชัน FinTech ให้บริการแก่สถาบันการเงินอื่น ๆ หลายอย่าง ซึ่งรวมไปถึง Aladdin แพลตฟอร์มการบริหารจัดการการลงทุนที่เป็นเรือธงของบริษัท
  • ความยั่งยืน (Sustainability): BlackRock ยังคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เข้ามาใช้ในการตัดสินใจลงทุน โดยมีความเชื่อว่า บริษัทที่มีโปรไฟล์ ESG ที่แข็งแกร่งมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่ยั่งยืนได้มากกว่า


โมเดลธุรกิจของ BlackRock ทำเงินอย่างไร?

BlackRock มีเงินไหลเข้าสุทธิ (Net Inflows) อยู่ที่ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยทวีปอเมริกายังเป็นภูมิภาคที่มีเงินไหลเข้าสูงสุดที่ 177,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันกองทุน ETF ก็มีเงินไหลเข้าสุทธิที่ 185,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่ารายได้จากนักลงทุนรายย่อยและสถาบันรวมกัน

และจากรายงานทางการเงินล่าสุดของ BlackRock รายได้ปัจจุบันในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 18,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โตขึ้น 4.63% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ซึ่ง BlackRock มีการแบ่งสัดส่วนรายได้จาก 5 ช่องทางหลัก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเป็นบริการให้คำปรึกษา โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้

  • ค่าธรรมเนียมการให้คำปรึกษาการลงทุน ค่าบริหารจัดการ และรายได้จากการให้ยืมหลักทรัพย์ (Investment Advisory, Administrative Fees, and Securities Lending) ส่วนนี้เป็นแหล่งรายได้หลักของ BlackRock โดยพิจารณาค่าธรรมเนียมตามเปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ซึ่งในปีงบประมาณ 2023 ส่วนนี้ทำรายได้ไปกว่า 14,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 81% ของรายได้ทั้งหมด
  • ค่าธรรมเนียมคำปรึกษาตามผลการดำเนินงาน (Investment Advisory Performance Fees) ค่าธรรมเนียมนี้จะถูกเรียกเก็บเมื่อผลการลงทุนเกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยในปี 2023 คิดเป็นรายได้ที่ 554 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3% ของรายได้ทั้งหมด
  • บริการด้านเทคโนโลยี (Technology Services) โดย BlackRock จะมีการให้บริการด้านระบบเทคโนโลยีในการบริหารการลงทุน การจัดการความเสี่ยง การบริหารความมั่งคั่ง และเครื่องมือกระจายสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าในกลุ่ม บริษัทประกัน ธนาคาร และกองทุนบำเหน็จบำนาญ ซึ่งส่วนนี้ทำรายได้กว่า 1,490 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8% ของรายได้ทั้งหมด
  • ค่าธรรมเนียมการบริการผลิตภัณฑ์ของบริษัท (Distribution Fees) รายได้จากส่วนนี้ในปี 2023 คิดเป็นประมาณ 1,260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7% ของรายได้ทั้งหมด
  • ค่าที่ปรึกษาและรายได้อื่น ๆ (Advisory and Other Revenues) เป็นรายได้จากบริการเป็นที่ปรึกษาแก่สถาบันการเงิน หน่วยงานกำกับดูแล และรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลก โดยในปี 2023 มีรายได้อยู่ที่ 159 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1% ของรายได้ทั้งหมด

ปัจจุบัน ณ เดือนธันวาคม 2024 ทาง BlackRock มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 161,810 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ BlackRock เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับที่ 93 ของโลก


ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney



Author

Thanthida Thongphet

Thanthida Thongphet
Digital Economy & Future of Finance